นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป (A5) เปิดเผยว่า บริษัทสามารถสร้างรายได้ไตรมาส 1/65 เป็นสถิติสูงสุดใหม่ (New High) โดยมียอดรับรู้รายได้รวม 322.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดรับรู้รายได้รวม 253.98 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 52.05 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 95.11 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากไม่นับรวมกำไรพิเศษจากการขายที่ดินจำนวน 105 ล้านบาท ที่เกิดขึ้นในช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือว่าบริษัทสามารถทำกำไรสุทธิในไตรมาส 1/65 เป็นสถิติสูงสุดใหม่เช่นเดียวกัน
ผลการดำเนินงานที่เติบโตดีกว่าที่คาดอย่างมีนัยสำคัญ มาจากโครงการวนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9-ศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ บนทำเลศักยภาพกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ สามารถทำยอดโอนกรรมสิทธิ์เป็นมูลค่ารวมมากกว่า 300 ล้านบาท เนื่องจากได้รับความสนใจจากลูกค้าเข้าเยี่ยมชมอย่างต่อเนื่องและตัดสินใจซื้อบ้านในช่วงนี้ หลังจากราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนค่าก่อสร้าง รวมถึงได้พัฒนาโครงการในรูปแบบบ้านสร้างเสร็จพร้อมโอนและพร้อมอยู่ ซึ่งสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ทันที นอกจากนี้บริษัทฯ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุน ส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 34.01% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 22.51%
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 65 ได้มีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายโชติกร ปัญจทรัพย์ เข้าเป็นกรรมการบริษัท เพื่อร่วมกำหนดนโยบายและทิศทางองค์กรที่จะนำ A5 เติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว และมุ่งมั่นที่จะนำบริษัทฯ เป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์นิชมาร์เก็ตอย่างแท้จริงตามที่เคยประกาศไว้
ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มองหาบ้านระดับบนพบว่ามีความสนใจเข้ามาเยี่ยมชมโครงการเพิ่มขึ้น ส่วนผู้บริโภคที่มองหาบ้านระดับกลางคาดว่ากำลังซื้อจะทยอยฟื้นตัว โดยจะได้รับผลดีจากผู้บริโภคที่เคยชะลอการตัดสินใจเพื่อรอราคาที่เหมาะสม (Pending Demand) กลับมาซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงนี้อีกครั้ง เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้รับรู้แล้วว่าราคาบ้านมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนค่าก่อสร้าง ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ยังอยู่ในระดับต่ำและยังได้รับสิทธิประโยชน์จากการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนรวมถึงค่าจดจำนองจากภาครัฐ
บริษัทจึงเตรียมทยอยเปิดโครงการใหม่ในปีนี้รวม 3 โครงการ โดยปรับเพิ่มมูลค่าโครงการรวมเป็น 4.57 พันล้านบาท จากเดิม3.2 พันล้านบาท เนื่องจากพัฒนาโครงการบนที่ดินขนาดใหญ่ขึ้น และล่าสุดบริษัทเตรียมเปิดโครงการ "บ้านรชยา ประชาสันติ" ในจังหวัดอุดรธานี เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ราคายูนิตละ 2-4 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดพรีเซลในช่วงต้นเดือนมิ.ย. 65 เพื่อตอบสนองความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในพื้นที่ ส่วนในช่วงไตรมาสสุดท้ายเตรียมเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรร ระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ในกรุงเทพฯ มูลค่าโครงการ 2.7 พันล้านบาท และโครงการบ้านจัดสรรในจังหวัดอุดรธานีอีก 1 โครงการ มูลค่าโครงการ 1.6 พันล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทวางแผนขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำผลการดำเนินงานในปีนี้มียอดรับรู้รายได้ 1 พันล้านบาท และมุ่งสู่เป้าหมายยอดรับรู้รายได้ 5 พันล้านบาท ภายในปี 69 โดยเมื่อเร็วๆนี้ได้ซื้อที่ดินใหม่เข้ามา 1 แปลง เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต และเตรียมงบลงทุนกว่า 700 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 2 แปลง รองรับแผนพัฒนาโครงการใหม่ในปี 66 เพื่อผลักดันการเติบโตในระยะยาวตามเป้าหมาย ซึ่งบริษัทได้ประกาศรับซื้อที่ดินในทำเลกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกและปริมณฑล เนื้อที่ตั้งแต่ 8 - 50 ไร่