ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นเมื่อคืนนี้ (18 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.75% พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยลงอีกหากเศรษฐกิจสหรัฐเสี่ยงที่จะเผชิญช่วงขาลง นอกจากนี้ นักลงทุนยังตอบรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของโกลด์แมน แซคส์ และเลห์แมน บราเธอร์ส
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 420.41 จุด หรือ 3.51% สู่ระดับ 12,392.66 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 54.14 จุด หรือ 4.24% แตะระดับ 1,330.74 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดดีดขึ้น 91.25 จุด หรือ 4.19% แตะระดับ 2,268.26 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่หนาแน่นถึง 1.95 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 7 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.36 พันล้านหุ้น
คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดมีมติลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้น (fed funds rate) ลงอีก 0.75% สู่ระดับ 2.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2547 โดยมีเป้าหมายที่จะยับยั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ และคลี่คลายความผันผวนในตลาดการเงิน นอกจากนี้ เฟดยังได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) ลงอีก 0.75% สู่ระดับ 2.5%
แถลงการณ์ภายหลังการประชุมของเฟดระบุว่า "เฟดเชื่อว่าการดำเนินการครั้งล่าสุด ซึ่งรวมถึงมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องที่ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้นั้น จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวในระดับปานกลางและช่วยบรรเทาความเสี่ยงที่มีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเผชิญช่วงขาลงนั้น ยังคงมีอยู่ ซึ่งหากจำเป็นเฟดก็จะดำเนินการยับยั้งความเสี่ยงนั้นในเวลาที่เหมาะสมและทันท่วงที เพื่อผลักดันเศรษฐกิจสหรัฐให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพด้านราคา"
คริสเตียน เมเนแกทตี นักวิเคราะห์จากอาร์จีอี มอร์นิเตอร์ กล่าวว่า "ก่อนหน้านี้ นักลงทุนและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 1% แต่การที่เฟดส่งสัญญาณว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกและผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของเลห์แมน บราเธอร์ และโกลด์แมน แซคส์ ทำให้นักลงทุนไม่ได้ผิดหวังมากนักที่เฟดลดดอกเบี้ยลงเพียง 0.75% นอกจากนี้ เฟดยังจับตาดูตัวเลขเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด ซึ่งเรามั่นใจว่าตราบใดที่ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ยังเคลื่อนไหวในระดับสูง สหรัฐก็จะยังคงเผชิญแรงกดดันด้านเงินเฟ้อต่อไป"
นอกจากนี้ นักลงทุนขานรับโกลด์แมน แซคส์ ที่รายงานว่า กำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปี 2551 อยู่ที่ 1.47 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.32 ดอลลาร์ต่อหุ้น เปรียบเทียบกับกำไร 3.15 พันล้าน หรือ 6.67 ดอลลาร์ต่อหุ้นในปีก่อนหน้านี้ ซึ่งตัวเลขที่มีการเปิดเผยล่าสุดนี้อยู่เหนือการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์จากโพลล์ของธอมสัน ไฟแนนเชียล ที่คาดว่ากำไรสุทธิของโกลด์แมน แซคส์ น่าจะอยู่ที่ 2.58 ดอลลาร์ต่อหุ้น
ขณะที่เลห์แมน บราเธอร์ส เปิดเผยว่า กำไรไตรมาสแรกของบริษัทมีอยู่ทั้งสิ้น 489 ล้านดอลลาร์ หรือ 81 เซนต์ต่อหุ้น เปรียบเทียบกับกำไรปีก่อนหน้านี้ที่ระดับ 1.15 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.96 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งตัวเลขที่มีการเปิดเผยล่าสุดอยู่เหนือการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์จากโพลล์ธอมสัน ไฟแนนเชียล ที่คาดว่าน่าจะอยู่ที่ 72 เซนต์ต่อหุ้น
ริชาร์ด ฟัลด์ ซีอีโอและประธานเลห์แมน บราเธอร์ส กล่าวว่า "บริษัทยังคงเผชิญความท้าทายด้านการดำเนินงาน ผลประกอบการของเราสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของความตั้งใจที่จะดำเนินธุรกิจแบบกระจายความเสี่ยง และมุ่งเน้นในเรื่องการบริหารจัดการความเสี่ยง อีกทั้งให้ความสำคัญในการรักษาสถานะด้านทุนและสภาพคล่องให้แข็งแกร่งอยู่เสมอ ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้เลห์แมน บราเธอร์สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าแม้ต้องเผขิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากและภาวะผันผวนในตลาด"
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มการเงินทะยานขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นเลห์แมน บราเธอร์ส พุ่งขึ้น 46% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ดีดขึ้น 16% และหุ้นแบร์ สเติร์นส์ ทะยานขึ้น 23%
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--