นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ. กสิกรไทย เปิดเผยว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลกกลับมามีทิศทางที่ดีขึ้นภายหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มบรรเทาลง หนึ่งในนั้นคือประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจใน 5 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศเติบโตต่อเนื่อง ระบบการเงินมีเสถียรภาพ รัฐบาลมุ่งเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน และมีเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติสูงสุดในอาเซียน
บลจ.กสิกรไทย จึงได้จัดตั้งกองทุน RMF น้องใหม่ชื่อว่า กองทุนเปิดเค เวียดนาม หุ้นทุน เพื่อการเลี้ยงชีพ (K-VIETNAM-RMF) เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาวตามแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนาม พร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยมีกำหนดเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 24-31 พฤษภาคม 2565
K-VIETNAM-RMF มีรูปแบบการลงทุนแบบ Feeder Fund ที่เน้นลงทุนในกองทุนหลักอย่าง กองทุนเปิดเค เวียดนาม หุ้นทุน (K-VIETNAM) เพียงกองทุนเดียว ซึ่งมีนโยบายการลงทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นเวียดนามชั้นนำ หลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งอสังหาริมทรัพย์ สินค้าอุปโภคบริโภค และการเงิน ด้วยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนตรงในตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งเป็นทีมบริหารเดียวกับกองทุน K-VIETNAM ที่สามารถสร้างผลการดำเนินในช่วงที่ผ่านมาได้อย่างโดดเด่น เอาชนะดัชนีชี้วัดได้อย่างสม่ำเสมอ
นางสาวธิดาศิริ กล่าวว่า บลจ.กสิกรไทย ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นเวียดนาม โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายด้านทั้งจากภาครัฐที่มีความพยายามในการปฏิรูปตลาดเงินตลาดทุน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและเพิ่มขีดความสามารถให้นักลงทุนต่างชาติเข้าถึงการลงทุนในบริษัทเวียดนามได้มากขึ้น และรัฐบาลยังประสบความสำเร็จในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบโดสที่ครอบคลุมมากกว่า 80% ของประชากร อีกทั้งยังพร้อมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว เพื่อฟื้นฟูภาคบริการในระยะถัดไป
นอกจากนี้ ตลาดคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนามยังเติบโตในระดับสูง ในช่วงเดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามได้ปรับลงมาค่อนข้างมาก โดยสาเหตุหลักมาจากมาตรการของทางการที่ออกมาปราบปรามเรื่องการปั่นหุ้นและ anti-corruption ตลอดจนประเด็นการละเมิดกฎที่เกี่ยวข้องกับการระดมเงินลงทุนจากการออกตราสารหนี้ของบริษัทเอกชนรายอื่นๆ ทำให้มีผลกระทบเป็นผลกว้างต่อตลาดหุ้น ตั้งแต่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ และหลักทรัพย์ โดยการปรับตัวลดลงของตลาดค่อนข้างรุนแรงเนื่องจากการถูกบังคับขาย (Force Selling) ของบัญชีเงินกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ หรือ บัญชี Margin ซึ่งปัจจุบันผู้ลงทุนรายย่อยซึ่งมีสัดส่วน 85% ของตลาดมีการซื้อขายหุ้นโดยใช้บัญชี Margin สูงเป็นประวัติการณ์
อย่างไรก็ดี เรามองว่าการเข้ามาปราบปรามอย่างจริงจังของรัฐบาลจะทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามมีเสถียรภาพและความโปร่งใสมากขึ้น และเป็นการเตรียมความพร้อมการเข้าเป็นสมาชิกในตลาดเกิดใหม่หรือ (Emerging Market) ปัจจุบันที่จัดอยู่ในกลุ่มตลาดชายขอบ (Frontier Market) ซึ่งจะทำให้มีเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเวียดนามอีกเป็นจำนวนมาก
"บลจ.กสิกรไทย มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังมีอัตราการเติบโตของกำไรที่ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน และในปัจจุบันซื้อขายในระดับ Valuation ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปี ค่อนข้างมาก จึงมองว่าเหมาะแก่การเข้าลงทุนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนยังต้องติดตามเศรษฐกิจโลกที่อาจได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงซึ่งเป็นผลพวงจากความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามเพราะมีการพึ่งพาภาคการส่งออกอยู่สูงได้" นางสาวธิดาศิริ กล่าว
นางสาวธิดาศิริ กล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุน K-VIETNAM-RMF เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มองเห็นศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนาม มีประสบการณ์การลงทุนในหุ้นต่างประเทศ สามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้สูง และต้องการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี พร้อมโอกาสรับผลตอบแทนเพื่อวัยเกษียณ