ทริสฯ ประกาศเครดิตพินิจองค์กร-หุ้นกู้ ทรูมูฟ เอชฯ แนวโน้ม Positive

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday May 24, 2022 17:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งประกาศ "เครดิตพินิจ" แนวโน้ม "Positive" หรือ "บวก" สำหรับอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด โดยปัจจุบันอันดับเครดิตดังกล่าวอยู่ที่ระดับ "BBB+" ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นบริษัทย่อยหลักของ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) โดยอันดับเครดิตของบริษัทมีระดับเท่ากับอันดับเครดิตของ TRUE ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้งที่ระดับ "BBB+" และมี "เครดิตพินิจ" แนวโน้ม "Positive" หรือ "บวก"

การประกาศ "เครดิตพินิจ" ดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากความคืบหน้าของการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ซึ่งทั้ง 2 บริษัทเพิ่งได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นของบริษัทแต่ละแห่งในการควบรวมกิจการในครั้งนี้ โดยขณะนี้การควบรวมอยู่ระหว่างรอการอนุมัติด้านกฎระเบียบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงเงื่อนไขอื่น ๆ เพื่อการดำเนินการควบรวมให้แล้วเสร็จ

ในการนี้ เมื่อการควบรวมแล้วเสร็จ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะกลายมาเป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทใหม่ที่จะเกิดจากการควบรวมในครั้งนี้ (NEWCO) ซึ่งอันดับเครดิตของบริษัทก็จะมีระดับเท่ากับอันดับเครดิตที่จัดให้แก่ NEWCO

"เครดิตพินิจ" แนวโน้ม "Positive" หรือ "บวก" สะท้อนถึงความเห็นของทริสเรทติ้งว่า NEWCO ที่เกิดจากการควบรวมกิจการจะมีสถานะเครดิตที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสถานะเครดิตของ TRUE โดยทริสเรทติ้งคาดว่าการควบรวมจะทำให้เกิดการผสานพลังทางธุรกิจ รวมทั้งการขยายขนาดของธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน

และเมื่อพิจารณาในเชิงตัวเลขแล้ว การควบรวมกิจการจะทำให้ NEWCO ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดในด้านรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ อีกทั้ง สถานะทางการเงินของ NEWCO น่าจะแข็งแกร่งกว่าสถานะทางการเงินของ TRUE ในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ โดยทริส เรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ NEWCO หลังจากการควบรวมแล้วจะอยู่ที่ระดับ 5-5.5 เท่าซึ่งต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนของ TRUE ซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 7 เท่า

ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าความท้าทายในการได้รับการอนุมัติด้านกฎระเบียบจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นั้นถือว่าเป็นความเสี่ยงสำคัญสำหรับการควบรวมกิจการดังกล่าวและมีความเป็นไปได้ว่ากำหนดเวลาในการควบรวมกิจการให้แล้วเสร็จนั้นอาจมีการขยายออกไป

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งจะทบทวน "เครดิตพินิจ" ของบริษัทอีกครั้งเมื่อธุรกรรมดังกล่าวเสร็จสิ้นและทริสเรทติ้งได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบที่จะมีต่อสถานะเครดิตของบริษัทจากการทำธุรกรรมดังกล่าวอย่างถี่ถ้วนแล้ว ซึ่งทั้ง TRUE และ DTAC คาดว่าการควบรวมจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 ในการนี้ ทริสเรทติ้งจะติดตามความคืบหน้าในการควบรวมกิจการอย่างใกล้ชิดและจะดำเนินการทบทวนอันดับเครดิตตามความเหมาะสมต่อไป

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

  • เป็นบริษัทย่อยหลักของ TRUE ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทเป็นบริษัทย่อยหลักของ TRUE ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่มีอำนาจควบคุมการตัดสินใจด้านกลยุทธ์และนโยบายทางการเงินของบริษัทโดยตรง โดย TRUE เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทได้รับการก่อตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ให้บริการสื่อสารแบบไร้สายภายใต้ใบอนุญาตและเป็นบริษัทหลักในการให้บริการสื่อสารแบบไร้สายขนาดใหญ่ของกลุ่ม TRUE บริษัทมีบูรณาการทั้งในด้านการดำเนินธุรกิจและกลยุทธ์ทางการเงินในระดับสูงร่วมกับบริษัทแม่ บริษัทเป็นผู้ถือครองสินทรัพย์ในการดำเนินหลัก ๆ เช่น สถานีฐานและอุปกรณ์สำหรับธุรกิจสื่อสารแบบไร้สายของกลุ่ม TRUE

นอกจากนี้ ทั้งกลยุทธ์การบริหารจัดการและกลยุทธ์กลุ่มของทั้งสองบริษัทยังมีการบูรณาการและพึ่งพาซึ่งกันและกันเป็นอย่างมากอีกด้วย ในอดีตที่ผ่านมา TRUE ให้การสนับสนุนบริษัทในด้านการเงินในรูปของการเพิ่มทุนและให้เงินกู้ยืมจากผู้ถือหุ้นในยามที่จำเป็น ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัทสร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วน 77% ของรายได้รวมของ TRUE และสร้าง EBITDA ในสัดส่วนเกือบ 60% ของกลุ่ม ในการนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงเป็นบริษัทย่อยหลักรายสำคัญของกลยุทธ์การให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรของกลุ่มในระยะยาวต่อไป

  • มีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง บริษัทยังคงมีสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งโดยเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่อันดับ 2 ในธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยทั้งในด้านจำนวนลูกค้าและรายได้ ซึ่งสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทมีปัจจัยสนับสนุนจากการมีโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ครอบคลุมกว้างขวางและมีคุณภาพ รวมทั้งการมีคลื่นความถี่ (Spectrum Portfolio) ที่หลากหลายจำนวนมากและตราสัญลักษณ์ที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี

โดยความแข็งแกร่งเหล่านี้ช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีจำนวนลูกค้าทั้งในระบบแบบเติมเงินและระบบรายเดือนที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีลูกค้าทั้งสิ้นจำนวน 32.6 ล้านรายหรือคิดเป็นสัดส่วน 33.6% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมดในอุตสาหกรรม ในขณะที่รายได้จากการให้บริการที่ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (Interconnection Charge ? IC) ในปี 2564 นั้นอยู่ที่ระดับ 7.98 หมื่นล้านบาทและ 1.97 หมื่นล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2565 ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดในด้านรายได้ที่ระดับประมาณ 32%

  • รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ที่ลดลงส่งผลกดดันรายได้ของบริษัท รายได้จากการให้บริการรวมของอุตสาหกรรมสื่อสารแบบไร้สายของไทยลดลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยืดเยื้อ โดยในปี 2564 มูลค่าตลาดโดยรวมอยู่ที่ระดับ 2.53 แสนล้านบาท ลดลง 1.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเมื่อเทียบกับการเติบโตเฉลี่ยที่ระดับ 2% ต่อปีในช่วงปี 2561-2562 แม้ว่าจำนวนลูกค้าโดยรวมของทั้งอุตสาหกรรมจะฟื้นตัว แต่รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ (Average Revenue per User -- ARPU) ของทั้งอุตสาหกรรมในปี 2564 กลับลดลงเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง รวมถึงการที่ภาครัฐนำมาตรการปิดเมือง (Lockdown) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดกลับมาใช้อีกครั้ง ตลอดจนการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 มูลค่าตลาดยังคงหดตัวต่อไปที่ระดับ 1.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

บริษัทมีรายได้จากการให้บริการที่ไม่รวม IC ในปี 2564 อยู่ที่ระดับ 7.98 หมื่นล้านบาท ลดลงเล็กน้อยที่ระดับ 0.5% จากปี 2563 ส่วนในไตรมาสแรกของปี 2565 รายได้จากการให้บริการของบริษัทยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ การแข่งขันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านราคาในกลุ่มลูกค้าแบบเติมเงินนั้นยังคงมีความรุนแรง อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงขยายโครงข่าย 5G และ 4G (5th and 4th Generation) อย่างต่อเนื่องไปพร้อม ๆ กับนำเสนอเนื้อหาดิจิทัลและประสบการณ์ด้านดิจิทัลแบบพิเศษแก่ลูกค้าเพื่อที่จะรักษาฐานลูกค้าและเสริมสถานะทางการตลาดของบริษัทให้แข็งแกร่งเอาไว้ ส่งผลทำให้บริษัทมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 1.94 ล้านรายในระหว่างปี 2564 จนถึงเดือนมีนาคม 2565 และทำให้จำนวนลูกค้ารวมอยู่ที่ 32.6 ล้านราย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้า 5G ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีการใช้ข้อมูลสูง อยู่จำนวน 2.6 ล้านราย

  • เป็นบริษัทหลักที่สร้างรายได้และกำไรให้แก่กลุ่ม บริษัทเป็นบริษัทหลักที่สร้างรายได้และกำไรให้แก่กลุ่ม TRUE โดยสร้างรายได้อยู่ที่ระดับ 1.11-1.17 แสนล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 75%-77% ของรายได้รวมของ TRUE ในขณะที่ EBITDA ของบริษัทคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 53%-59% ของ EBITDA รวมของ TRUE ในช่วงเวลาเดียวกัน

ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงนั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่เข้ามาได้อย่างต่อเนื่องโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการบูรณาการธุรกิจแบบครบวงจรและการผนึกกำลังทางธุรกิจในช่องทางออนไลน์ของกลุ่ม TRUE ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาโดยจะอยู่ในช่วง 1.17-1.20 แสนล้านบาทต่อปีซึ่งน่าจะยังคงคิดเป็นสัดส่วนหลักที่ระดับประมาณ 75% ของรายได้รวมของบริษัทแม่ ในขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจะได้แรงหนุนจากอุปสงค์ในการใช้บริการข้อมูลที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการที่ลูกค้าเปลี่ยนจากการใช้งานระบบเติมเงินไปสู่ระบบรายเดือนและสภาพเศรษฐกิจที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว

ความสามารถในการทำไรของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากผลของมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยในปี 2564 EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้น 9.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 3.68 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีอัตรา EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 31.6% ในปี 2564 จากระดับ 30% ในปี 2563 บริษัทมีการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและควบคุมค่าใช้จ่ายซึ่งรวมถึงการลดค่าใช้จ่ายในการขายและการส่งเสริมการตลาดส่วนบุคคลโดยผ่านช่องทางออนไลน์

ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของรายได้และความพยายามในการควบคุมต้นทุนของบริษัท โดยมาตรการลดต้นทุนคาดว่าจะให้ผลในเชิงบวกต่ออัตรากำไร ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะมี EBITDA อยู่ในช่วง 3.6-3.7 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 และจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานปีละ 2.2-2.3 หมื่นล้านบาท อีกทั้งบริษัทจะยังคงมีบทบาทสำคัญในการสร้างกำไรให้แก่กลุ่ม TRUE โดยจะสร้าง EBITDA คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 60% ของ EBITDA รวมของกลุ่ม

  • สถานะด้านการเงินมีภาระหนี้สินอยู่ในระดับสูง บริษัทมีภาระหนี้สินอยู่ในระดับสูง กล่าวคือ ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีหนี้สินปรับปรุงสุทธิอยู่ที่จำนวน 2.76 แสนล้านบาท เนื่องจากบริษัทมี EBITDA ที่ปรับตัวดีขึ้นจึงทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 7.4 เท่า ณ เดือนมีนาคม 2565 จากระดับ 8 เท่าในช่วงระหว่างปี 2562-2563 รวมทั้งมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ที่ระดับ 8.7% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับประมาณ 81%

ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าหนี้สินของบริษัทน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเมื่อพิจารณาจากเงินลงทุนสำหรับขยายโครงข่ายและภาระในการชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่รวมถึงภาระดอกเบี้ยจ่ายจำนวนมาก ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2.3-2.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 และจะมีภาระที่ต้องจ่ายชำระค่าใบอนุญาตอีกปีละประมาณ 9.4 พันล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินปรับปรุงสุทธิต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 8 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้าในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินปรับปรุงสุทธิจะอยู่ที่ระดับประมาณ 8%

  • ความจำเป็นในการกู้ยืมใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิม ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทจะตึงตัวแต่ก็อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 9.9 พันล้านบาท ในขณะที่มีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วงเวลา 12 เดือนข้างหน้าจำนวนประมาณ 2.38 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีภาระหนี้สินตามสัญญาเช่าในส่วนที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปีอีกจำนวน 7.4 พันล้านบาทอีกด้วย เมื่อพิจารณาความต้องการใช้เงินทุนในการขยายโครงข่ายและเงินทุนจากการดำเนินงานแล้ว ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทมีความจำเป็นจะต้องกู้เงินใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิมส่วนใหญ่ที่จะครบกำหนด

สถานะเครดิตของ TRUE

ทริสเรทติ้งประกาศ "เครดิตพินิจ" แนวโน้ม "Positive" หรือ "บวก" สำหรับอันดับเครดิตองค์กรของ TRUE ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ "BBB+" เนื่องจากมีความคืบหน้าในการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ DTAC โดยอันดับเครดิตองค์กรของ TRUE ยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในฐานะผู้นำในธุรกิจให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรในประเทศไทย ตลอดจนความแข็งแกร่งในการแข่งขันทั้งในธุรกิจให้บริการสื่อสารแบบไร้สายและธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่น่าพอใจของ TRUE และความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่า TRUE จะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือกลุ่มซีพีและพันธมิตรเชิง กลยุทธ์คือ China Mobile International Holdings Ltd. (China Mobile) อีกด้วย ในทางกลับกัน อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนจากภาระหนี้สินในระดับสูงและการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

  • ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานกรณีพื้นฐานว่าบริษัทจะยังคงสถานะในการเป็นบริษัทย่อยหลักของ TRUE ต่อไปจนกว่าการควบรวมกิจการจะแล้วเสร็จ
  • เมื่อการควบรวมกิจการเสร็จสิ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเป็นบริษัทย่อยหลักของ NEWCO

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ