นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ผลิตไฟฟ้า หรือเอ็กโก กรุ๊ป (EGCO) เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/65 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/65 ที่มีรายได้ 12,499.09 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 4,115.81 ล้านบาท เนื่องด้วยไตรมาสนี้จะมีการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำน้ำเทิน 1 (EGCO ถือหุ้น 25%) กำลังการผลิตติดตั้ง 650 เมกะวัตต์ ปัจจุบันมีความคืบหน้าการก่อสร้างแล้ว 98.85% รวมถึงโครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ ของ ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค (TPN) กำลังการขนส่ง 5,443 ล้านลิตรต่อปี (EGCO ถือหุ้น 44.6%) ซึ่งปัจจุบันมีการก่อสร้างไปแล้ว 99.33%
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานทั้งปี 65 บริษัทมั่นใจว่าจะเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะกำไรสุทธิ เนื่องด้วยไตรมาส 1/65 เติบโตโดดเด่น โดยมีกำไรมากกว่าทั้งปี 64 ไปแล้ว เป็นผลมาจากสามารถรับรู้รายได้จากการดำเนินงานแบบเต็มปีของโรงไฟฟ้า ลินเดน โคเจน และการลงทุนใน บริษัท เอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง ในสหรัฐ
และยังมาจากการรับรู้รายได้โครงการใหม่ 3 โครงการที่จะเปิดดำเนินการและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปีนี้ ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 ใน สปป.ลาว รวมถึงการทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าหยุนหลินในไต้หวัน
บริษัทยังคงเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ปี 65 เพิ่ม 1,000 เมกะวัตต์ จากปีก่อนอยู่ที่ 5,646 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมาจากการ COD โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 กำลังการผลิตตามสัดส่วนถือหุ้น 161 เมกะวัตต์ จากกำลังการผลิตติดตั้งรวม 650 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล (หยุนหลิน) ในไต้หวัน กำลังการผลิตตามสัดส่วนถือหุ้น 72 เมกะวัตต์ จากกำลังการผลิตติดตั้งรวม 640 เมกะวัตต์
นอกจากนี้จะเป็นการลงทุนในโครงการใหม่ในลักษณะการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างเจรจาทำดีล M&A อยู่หลายดีล แต่ยังไม่สามารถสรุปความชัดเจนได้เมื่อใด เนื่องจากการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง
"ปัจจุบันมีการเจรจาซื้อกิจการหลายดีล แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะสำเร็จหรือปิดดีลได้หรือไม่ เนื่องจากหลายดีลก็มีการแข่งขันสูง แต่เราก็จะพยายามเพื่อปิดดีลให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้" นายเทพรัตน์ กล่าว
บริษัทยังคงงบลงทุนปีนี้ 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา ประมาณ 8,000 ล้านบาท และโครงการลงทุนใหม่ในอนาคตในลักษณะ M&A ราว 22,000 ล้านบาท โดยไตรมาส 1/65 ใช้เงินลงทุนในโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนาไปแล้ว ประมาณ 5,400 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นโครงการ TNP, โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1, โรงไฟฟ้าหยุนหลิน, รวมถึงโครงการนิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง ที่มีกำหนดเปิดดำเนินการในปี 66, โรงไฟฟ้าเอ็กโกโคเจน (ส่วนทดแทน) กำลังการผลิตติดตั้ง 100-110 เมกะวัตต์ มีกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ปี 67
สำหรับราคาก๊าซฯ ที่สูงขึ้น มองมีผลกระทบกับโรงไฟฟ้า EGCO ต่างกัน เช่น โรงไฟฟ้า IPP จะไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากภาครัฐจะรับผิดชอบตามราคาค่าก๊าซที่เกิดจริง ส่วน SPP ในประเทศไทย ทางรัฐบาลจะชดเชยผ่านการปรับค่า Ft ซึ่งจะปรับขึ้นช้ากว่าราคาก๊าซ ดังนั้นโรงไฟฟ้า SPP ที่บริษัทฯ มีอยู่ในส่วนที่ขายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) ก็จะต้องแบกรับต้นทุนไปก่อน จนกว่าค่า Ft จะปรับขึ้นมา
ขณะที่ต่างประเทศที่อยู่ใน Power Pool เช่น โรงไฟฟ้าพาจู อีเอสในเกาหลีใต้, โรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน ในสหรัฐ จะไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากค่าไฟสามารถปรับขึ้นได้ตามต้นทุนจริง
"เราจะได้รับผลกระทบจากราคาก๊าซปรับตัวขึ้น ในส่วนของลูกค้า IU ซึ่งคิดเป็น 2% ของพอร์ตรวม ทำให้ในภาพรวมจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ" นายเทพรัตน์ กล่าว