โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เมย์แบงก์ ซื้อ 25.50 ทิสโก้ ซื้อ 25.50 เอเซียพลัส ซื้อ 25.00 โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 24.00 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 24.00 บัวหลวง ซื้อ 24.00 พาย ซื้อ 23.70 หยวนต้า ซื้อ 23.60
นางสาวสุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กล่าวว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้น MAJOR เนื่องจากภาพรวมผลประกอบการทั้งปี 65 มีโอกาสกลับมาทำกำไรได้ดี หลังจากช่วงที่ผ่านมาต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดโควิด-19
เบื้องต้นประเมินว่าจะเห็นแนวโน้มผลประกอบการเริ่มฟื้นตัวชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 2/65 เป็นต้นไป ตามทิศทางรายได้จากภาพยนตร์ Doctor Strange in the Multiverse of Madness ที่ฉายตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค. ทำรายได้ไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท ส่วนภาพยนตร์อย่าง Top Gun: Maverick ที่กำหนดฉายในวัน 26 พ.ค. และ Jurassic World : Dominion ที่จะเข้าฉายในเดือน มิ.ย.65 มีแนวโน้มที่จะได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามเช่นกัน ส่งผลให้รายได้จากการขายตั๋วจะเติบโตได้อย่างโดดเด่น
นอกจากนี้ คาดว่าการผ่อนคลายมาตรการภาครัฐและการประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น จะทำให้ธุรกิจ MAJOR กลับมาได้รับประโยชน์อีกครั้ง แม้ว่าปัจจุบันความจุที่นั่งของโรงหนังจะอยู่ที่ 75% แต่จะเริ่มกลับไปเป็น 100% ขณะที่รอบฉายหนังมีแนวโน้มที่จะขยายกลับไปเป็นปกติที่ 6-7 รอบ/วัน จากปัจจุบันที่ฉาย 4-5 รอบ/วัน
ส่วนรายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่ม ค่าโฆษณา ค่าเช่า และการผลิตหนัง ก็มีแนวโน้มเติบโตตามไปด้วยเช่นกัน รวมไปถึงยังมีรายได้จากภาพยนตร์ที่ผลิตและจำหน่ายโดยบริษัทย่อยของ MAJOR มากขึ้น
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 ฟื้นตัวโดดเด่น QoQ เนื่องจากเข้าสู่ช่วง High season มีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่จาก Hollywood ทยอยเข้าฉายต่อเนื่อง และสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 สายพันธุ์ Omicron เริ่มคลี่คลาย และคาดกำไรไตรมาส 2/65 ฟื้นตัวโดดเด่น YoY จากฐานต่ำปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกสาม (ปิดโรงภาพยนตร์ชั่วคราวตั้งแต่ 3 เม.ย.-30 ก.ย.64) และยังคงคาดกำไรสุทธิปี 65 ที่ 933 ล้านบาทฟื้นจากปี 64 ขาดทุน -710 ลบ. (ไม่รวมกำไรพิเศษจากการขายหุ้น SF)
นอกจากนี้ยังมี Catalyst บวกจากการนำ Popcorn เข้าไปขายใน 7-11 ในเดือน มิ.ย., การร่วมมือกับ Partner จีนผลิตภาพยนตร์เพื่อเข้าฉายในประเทศไทยและจีนภายในปี 65 และความร่วมมือกับ TKN และ WORK ที่จะมีความชัดเจนขึ้นหลัง MAJOR เข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 7% และ 5% ตามลำดับเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา
ส่วน บล.หยวนต้า ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผลประกอบการของ MAJOR ได้ผ่านช่วงแย่ที่สุดไปแล้ว และคาดผลประกอบการจะกลับมาเติบโตโดดเด่นในปี 65 จากฐานที่ต่ำ พร้อมประเมินผลประกอบการปี 65 จะพลิกฟื้นจากขาดทุน จากการดำเนินงานปกติที่ 627 ล้านบาท เป็นกำไร 932 ล้านบาท จากภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่รอเข้าฉายจำนวนมาก คาดผู้ชมจะกลับมาอยู่ระดับ 70-80% ของระดับปกติก่อนวิกฤต COVID-19 โดยคาดรายได้ที่ 7,736 ล้านบาท+225%YoY
นอกจากนี้ ยังมีการเติบโตต่อเนื่องจากการขยายธุรกิจใหม่ ๆ เช่น การขยายธุรกิจอาหาร นำป๊อปคอร์นเข้าไปจำหน่ายในร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น, การร่วมทุนกับพันธมิตรที่จีนในการสร้างภาพยนตร์ เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ที่ประเทศจีน ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ โดยในประเทศจีนนั้นมีจอโรงภาพยนตร์กว่า 8 หมื่นจอ หากเข้าฉายได้ราว 5 พันจอ ก็มองว่าจะสามารถทำรายได้ในระดับที่ดี และยังมีการเข้าถือหุ้นใน Work Point และมีดีลทางธุรกิจในการ สร้างภาพยนตร์ราว 3-4 เรื่องต่อปีอีกด้วย