บมจ.สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ (STP) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 25.40 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 25.40% ของจำนวนหุ้นหลัง IPO ที่ราคาหุ้นละ 18 บาท โดยเปิดให้จองซื้อในช่วงวันที่ 2 และ 6-7 มิ.ย.นี้ และคาดเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 14 มิ.ย. โดยมี บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ได้แก่ บล.เอเซีย พลัส บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) บล.กรุงไทย เอ๊กซ์สปริง บล.โกลเบล็ก บล.คิงฟอร์ด และ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)
STP เป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจการพิมพ์บรรจุภัณฑ์กระดาษและสิ่งพิมพ์ทุกชนิด โดยเป็นผู้ให้บริการตั้งแต่การพัฒนาและออกแบบบรรจุภัณฑ์ การจัดทำเพลทที่มีคุณภาพสูง ด้วยการพิมพ์งานสูงสุด 12 สี และมีบริการหลังพิมพ์ต่าง ๆ เช่น การเคลือบยูวี การปั๊มฟอยล์ทอง การปั๊มฟอยล์เงิน การประกบลูกฟูก การไดคัท เป็นต้น
บริษัทจะจัดสรรหุ้น IPO แบ่งเป็น จัดสรรหุ้นให้กับบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ สัดส่วน 70% ผู้มีอุปการคุณของบริษัท สัดส่วน 15% ผู้ลงทุนสถาบัน 9.8% และกรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัท สัดส่วน 4.3%
ราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 18 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราส่วน P/E ราว 11.3 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัทในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 64 ถึงวันที่ 31 มี.ค. 65) ซึ่งเท่ากับ 122.3 ล้านบาท และนำมาคิดคำนวณตามวิธีการหามูลค่า พร้อมกับเปรียบเทียบกับธุรกิจในอุตสาหกรรมใกล้เคียงกันในตลาดหลักทรัพย์ฯซึ่งมีค่าเฉลี่ย P/E อยู่ระหว่าง 18-19.4 เท่า
สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขาย IPO ครั้งนี้มูลค่ารวม 457.2 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์ในการใช้เงินแบ่งออกเป็น การใช้รองรับการลงทุนในโครงการขยายโรงงานและลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม จำนวน 360 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและการดำเนินการอื่นใดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกิจการ จำนวน 97.2 ล้านบาท
นายสุรนัย โรจน์วงศ์จรัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STP เปิดเผยว่า การระดมทุนเสนอขาย IPO และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในครั้งนี้มีแผนขยายกำลังการผลิตในครั้งนี้เพิ่มขึ้นอีกราว 50% จากกำลังการผลิตในปัจจุบันที่ 49.7 ล้านแผ่นพิมพ์/ปี ซึ่งจะรองรับความต้องการของผู้ประกอบการต่างๆที่เพิ่มขึ้น และยังทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้ารายใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีการเติบโตสูง จากสังคมในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งคนเริ่มหันมานิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้น และทำให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตมากกว่า 20% ซึ่งเป็นโอกาสให้กับธุรกิจของบริษัท
ขณะที่ภาพรวมธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มเติบโตรับตลาดอีคอมเมิร์ซ อีกทั้งดีมานด์การบริโภคที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้าต่างๆ ทำให้ความต้องการด้านบรรจุภัณฑ์กระดาษเพิ่มขึ้น อีกทั้งกลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่สามารถใช้ในการช่วยป้องกันสินค้าที่บรรจุภายในแล้ว ยังสามารถช่วยส่งเสริมการขายและทำการตลาดต่างๆ เพิ่มมูลค่าให้สินค้าและแบรนด์ และบรรจุภัณฑ์กระดาษยังรับกระแสรักษ์โลกในอนาคต
บริษัทตั้งเป้ารายได้ 5 ปีเพิ่มขึ้นเป็น 750 ล้านบาท โดยที่การเติบโตของรายได้ในแต่ละปีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 5-15% ต่อปี และมุ่งหวังให้หุ้นของ STP เป็นทั้งหุ้น Growth Stock และ Value Stock ที่บริษัทมีความมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตต่อยอดธุรกิจอย่างยั่งยืน และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง