ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บง.ศรีสวัสดิ์ (BFIT) ที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตของบริษัทอยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) (ได้รับอันดับเครดิต "BBB+/Stable" จากทริสเรทติ้ง) ซึ่งสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่มีฐานะเป็นบริษัทลูกหลักของ SAWAD
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
- บริษัทยังคงเป็นบริษัทลูกหลักของ SAWAD หลังจากการปรับโครงสร้างกลุ่ม ทริสเรทติ้งยังคงประเมินให้บริษัทมีฐานะเป็นบริษัทลูกหลักของ SAWAD แม้ว่า SAWAD จะมีการประกาศแผนการปรับโครงสร้างกลุ่มเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยแผนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการรวม บริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด (SCAP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SAWAD ถือหุ้นในสัดส่วน 65% เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท โดยธุรกรรมดังกล่าวจะดำเนินการผ่านการแลกเปลี่ยนหุ้นโดยบริษัทจะออกหุ้นใหม่จำนวน 750 ล้านหุ้นในราคา 24 บาทต่อหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ SCAP เพื่อให้ได้มาซึ่งการถือหุ้นทั้งหมดใน SCAP รวมมูลค่าทั้งสิ้นจำนวน 1.8 หมื่นล้านบาท
การทำธุรกรรมดังกล่าวจะส่งผลทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ SAWAD ในบริษัทลดลงเหลือ 72.05% จาก 81.64% ในการนี้ เนื่องจาก SAWAD จะยังคงมีอำนาจควบคุมส่วนใหญ่ในบริษัท ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงเห็นว่าบริษัทจะยังคงเป็นหน่วยงานหลักของกลุ่มศรีสวัสดิ์ หรือ SAWAD Group ต่อไป และการปรับโครงสร้างจะไม่มีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทตามแผนการปรับโครงสร้าง การโอนธุรกิจทั้งหมดของ SCAP มายังบริษัทคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 โดยบริษัทจะคืนใบอนุญาตประกอบธุรกิจทางการเงินแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และจะเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บมจ.ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 (SCAP 1969)
โดยในอนาคตนั้น การเติบโตทางธุรกิจของ SCAP 1969 จะขับเคลื่อนโดยการขยายตัวที่แข็งแกร่งของธุรกิจในปัจจุบันของ SCAP เป็นหลักซึ่งรวมถึงสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันและสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ซึ่งดำเนินการผ่านบริษัทย่อย 2 แห่งของ SCAP คือ บริษัท เอส ลีสซิ่ง จำกัด (SLS ซึ่ง SCAP ถือหุ้น 90%) และ บริษัท คาเธ่ย์ ลีสซิ่ง จำกัด (CTL ซึ่ง SCAP ถือหุ้น 100%) ในขณะเดียวกัน พอร์ตสินเชื่อที่ใช้ทะเบียนรถยนต์เป็นประกัน (Title Loan) คงค้างของบริษัทที่จำนวน 4.1 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 จะค่อย ๆ หมดไปโดยลำดับ
ภายใต้โครงสร้างใหม่ของกลุ่ม สถานะของบริษัท (หรือ SCAP 1969) ภายหลังการปรับโครงสร้างกลุ่ม จะยังคงเป็นหนึ่งในหน่วยธุรกิจหลักของ SAWAD ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มสามารถจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการที่ครบวงจรให้แก่ลูกค้าโดยจะมีการแยกบริษัทที่รับผิดชอบการนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อแต่ละประเภทอย่างชัดเจน
ในการนี้ SCAP 1969 มีแนวโน้มที่จะทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการเติบโตของกลุ่ม SAWAD เนื่องจากทางกลุ่มมีเป้าหมายที่แข็งแกร่งในการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทโดย SCAP 1969 ในปี 2565 ซึ่งหากบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ สัดส่วนสินทรัพย์และรายได้ของ SCAP 1969 ต่อสินทรัพย์และรายได้รวมของกลุ่มจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ณ เดือนมีนาคม 2565 พอร์ตสินเชื่อของบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 11% ของสินเชื่อรวมของ SAWAD ซึ่งลดลงอย่างมากจาก 24% ณ เดือนมีนาคม 2564 เนื่องจากบริษัทได้ทยอยลดการให้บริการสินเชื่อลง หากรวมสินเชื่อของ SCAP ซึ่งคิดเป็น 21% ของสินเชื่อรวมของ SAWAD แล้ว สินเชื่อคงค้างรวมของทั้งสองบริษัทจะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของสินเชื่อรวมของ SAWAD
ในระยะยาวทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีความเป็นหนึ่งเดียวในระดับสูงกับ SAWAD โดย SAWAD จะยังคงควบคุมกลยุทธ์ทางธุรกิจและนโยบายบริหารความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด ในขณะที่คณะกรรมการชุดใหม่ของบริษัทซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 9 คนจะประกอบด้วยตัวแทนจาก SAWAD จำนวน 4 คนซึ่งรวมทั้งประธานคณะกรรมการด้วย ในส่วนของการดำเนินงานนั้น บริษัทจะใช้เครือข่ายสาขาของ SAWAD ในการติดตามหนี้และจะใช้ศูนย์บัญชาการระดับภูมิภาคในการดำเนินการด้านการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่
- หลังจากการรวม SCAP สัดส่วนรายได้ต่อกลุ่มบริษัทจะยังคงแข็งแกร่ง ความสามารถของบริษัทในการสร้างผลการประกอบการทางการเงินและนำส่งรายได้ที่มีนัยสำคัญให้แก่ SAWAD นั้นถือว่าเป็นปัจจัยที่สนับสนุนสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทลูกหลักของกลุ่ม แม้ว่าพอร์ตสินเชื่อของบริษัทจะหดตัวลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 จนทำให้สัดส่วนรายได้ที่นำส่ง SAWAD ลดลงในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 เหลือเพียง 8% ของรายได้รวมของ SAWAD จาก 30%-35% ในอดีต แต่การรวมกิจการ SCAP จะช่วยให้บทบาทในการเป็นหนึ่งในบริษัทลูกที่สร้างรายได้หลักให้แก่ SAWAD ยังคงดำเนินต่อไป โดยในไตรมาสแรกของปี 2565 SCAP มีรายได้ที่ระดับ 522 ล้านบาทซึ่งคิดเป็น 21% ของรายได้รวมของ SAWAD
หลังจากการปรับโครงสร้างกลุ่มแล้ว บริษัทหรือ SCAP 1969 ตั้งใจที่จะจัดหาแหล่งสินเชื่อของตนเองจากสถาบันการเงินเพื่อรองรับการขยายพอร์ตสินเชื่อและลดการพึ่งพาวงเงินสินเชื่อจาก SAWAD ลง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเห็นว่าเนื่องจากสัดส่วนการถือหุ้นหลังการปรับโครงสร้างซึ่งอยู่ที่ 72.05% ของ SAWAD นั้นบ่งชี้ว่าบริษัทจะยังคงเป็นบริษัทลูกหลักของ SAWAD และยังคงแสดงให้เห็นถึงพันธสัญญาของ SAWAD ที่มีต่อบริษัทในระยะยาว โดยทริสเรทติ้งเชื่อว่า SAWAD จะให้การสนับสนุนทางการเงินและอื่นๆ แก่บริษัทอย่างทันท่วงทีในกรณีที่มีความจำเป็น
ทั้งนี้ สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งอยู่ภายใต้ความคาดหมายที่บริษัทจะยังคงดำรงสถานะในการเป็นบริษัทลูกหลักของ SAWAD ต่อไป
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะในการเป็นบริษัทลูกที่เป็นธุรกิจหลักของ SAWAD และจะยังคงได้รับการสนับสนุนที่เข้มแข็งจากบริษัทแม่ต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง จากการที่บริษัทมีสถานะเป็นบริษัทลูกหลักของ SAWAD อันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทจึงมีทิศทางที่เป็นไปตามอันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของ SAWAD ซึ่งอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากทริสเรทติ้งเห็นว่าระดับความสำคัญที่บริษัทมีต่อกลุ่มนั้นลดน้อยถอยลงอย่างชัดเจนหรือหากมีสัญญาณที่บ่งชี้ให้เห็นถึงการสนับสนุนจากบริษัทแม่ที่ลดลง