นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบทาโกร เปิดเผยว่า บริษัทสามารถสร้างผลการดำเนินงานเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยในไตรมาส 1/65 มีรายได้รวม 26,163.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิเติบโตสู่ระดับ 1,966.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 149.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการเติบโตของปริมาณการขายและราคาสินค้าในทุกกลุ่มธุรกิจ
โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของรายได้จากการขายสินค้าและบริการจากทุกกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจเกษตร กลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ และกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง และการเติบโตของอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน
โดยเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของราคาขายเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน เช่น เนื้อสุกร เนื้อไก่ทั้งในประเทศและการส่งออก สัตว์ปีก ไข่ไก่ อาหารแปรรูป และเนื้อสัตว์แปรรูป สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของราคาตลาดของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว รวมถึงการเติบโตของอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของกลุ่มธุรกิจต่างประเทศ และกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยงอีกด้วย
กลุ่มธุรกิจเกษตร มีรายได้เพิ่มขึ้นจากราคาขายสินค้าตามต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ขณะที่ กลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน ที่มีความโดดเด่นทั้งรายได้จากการเพิ่มขึ้นของราคาและปริมาณขายผลิตภัณฑ์หมู ไก่ ไข่ไก่ อาหารแปรรูป และเนื้อสัตว์แปรรูป รวมทั้งมีกำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรที่สูงขึ้น ส่วนกลุ่มธุรกิจต่างประเทศ รับผลดีจากการเพิ่มขึ้นของราคาขายอาหารสัตว์ตามต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และการเพิ่มขึ้นของราคาขายสัตว์ที่มีชีวิตในประเทศกัมพูชาและลาว สำหรับกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง มีการดำเนินธุรกิจที่โดดเด่น จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขาย ราคาขายอาหารสัตว์เลี้ยง และขนมขบเคี้ยวสัตว์เลี้ยง สอดคล้องกับกลยุทธ์บริษัทฯ ที่มุ่งเน้นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูงมากยิ่งขึ้น
ส่วนความคืบหน้าในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ล่าสุดบริษัทแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน ได้แก่ บล.เกียรตินาคินภัทร และบล.บัวหลวง ซึ่งได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 500,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท
ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ (รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัท กรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) บริษัทมีแผนนำเงินไปใช้เป็นเงินทุนในการเข้าซื้อ และ/หรือ ก่อสร้างฟาร์มและโรงงานแห่งใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน สร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ส่วนที่เหลือนำไปใช้ในการปรับโครงสร้างเงินทุนและเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินกิจการ