นางเอื้อมพร ปัญญาใส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แปซิฟิกไพพ์ (PAP) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมแผนงานรองรับการเติบโตสู่ปีที่ 51 และต่อๆ ไป ในฐานะผู้นำธุรกิจการผลิตและจำหน่ายท่อเหล็ก ไปสู่ "ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเหล็ก" ด้วยนโยบายมุ่งมั่นสร้างสรรค์ทำเรื่องใหม่ๆ ให้กับเหล็ก และตอบโจทย์อุตสาหกรรมที่ปัจจุบันต้องการผลิตภัณฑ์ที่ช่วยประหยัดเวลาทำงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้เทคโนโลยีและการจัดการที่ทันสมัยในกระบวนการผลิต ทั้งยังพัฒนาระบบการให้บริการอย่างสม่ำเสมอเพื่อบรรลุความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าและคู่ค้า
บริษัทได้ปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจ 2 ด้าน คือ 1. การบริหารจัดการต้นทุน นำเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมนี้เข้ามาประยุกต์ใช้มากขึ้น 2. สร้างทีมภายในจากพนักงานทุกคน ให้เป็น Learning Organization และตั้งทีมการตลาดเพื่อสนับสนุนธุรกิจลูกค้าและคู่ค้า แทนการซื้อมาขายไปผ่านร้านค้าปลีกเช่นเดิม นำเสนอแพ็คเกจแบบ Total Solutions ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อไปสามารถใช้ได้ทั้งหมดไม่ต้องตัดแต่งใหม่ให้เหลือเศษ สร้างความรับรู้แก่ผู้บริโภค
ในขณะเดียวกัน บริษัทยังมุ่งสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับบุคคลทั้งภายในและภายนอกองค์กร ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือทางธุรกิจ และความผูกพันซึ่งกันและกัน ทั้งยังพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่องและมั่นคงของสินค้า บริการ และนวัตกรรม ตอกย้ำการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเหล็กเครือข่ายความร่วมมือจะผนึกกำลังหลากหลายกลุ่ม เช่น สถาบันการศึกษา สภาวิชาชีพต่างๆ เพื่อร่วมผลักดันอุตสาหกรรมเหล็กที่เป็นอุตสาหกรรมมีอนาคต มีโอกาสเติบโต จากพื้นฐานของประเทศ ยังมีโครงการก่อสร้างโครงการใหญ่อีกมาก มีขนาดการบริโภคเหล็กประมาณ 20 ล้านตัน/ปีโดยภาพรวม และมีอัตราเติบโตปีละ 4 - 5%
ปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกับพันธมิตร เพื่อที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูปออกมาวางจำหน่าย อาทิเช่น โครงสร้างเหล็กสำหรับโรงเรือนการเกษตรอัจฉริยะ บ้านสำเร็จรูป รั้วบ้าน และ กำแพงบ้าน เป็นต้น โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนเร็วๆนี้ โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 5-10% ภายในปี 68 เพื่อที่จะเพิ่มการสร้างกำไรสุทธิที่ดีขึ้น และ เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทในอนาคต
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากการขายให้อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมเครื่องจักรการเกษตร และ อุตสาหกรรมท่อแอร์ ให้เพิ่มเป็น 40% ในปี 68 จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% โดยสัดส่วนรายได้ที่เหลืออีก 80% มาจากการขายให้กับร้านค้าปลีกทั่วไป เพื่อที่จะเป็นการลดความผันผวนของรายได้ และ กำไรสุทธิ ที่โดยปกติร้านค้าปลีกมักจะมีการซื้อสินค้าตุนไว้ในช่วงของระยะเวลาที่เหล็กมีแนวโน้มขึ้นราคา และ มีการชะลอการซื้อสินค้าในช่วงของราคาเหล็กลงราคา
แต่อย่างไรตามในส่วนของอุตสาหกรรมจำเป็นจะต้องมีการซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะดำเนินโครงการ และ ดำเนินกิจการต่างๆ ในขณะเดียวกันยังช่วยให้บริษัทสามารถบริหารจัดการด้านต้นทุนได้ดีขึ้น เนื่องจากมีแผนการซื้อเหล็กล่วงหน้าด้วย
"เรามีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้กลุ่มอุตสาหกรรมมากขึ้น แม้ว่ามาร์จิ้นจะต่ำกว่าการจำหน่ายให้ร้านค้าปลีกทั่วไป แต่การจำหน่ายให้อุตสาหกรรมจะช่วยให้เราสามารถบริหารจัดการต้นทุนด้านวัตถุดิบได้ ในขณะเดียวกันยังได้เริ่มการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพิ่มมากขึ้นเพื่อที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ของบริษัท และ ยังเป็นการสร้างการเติบโตของรายได้ และ กำไรสุทธิอย่างสม่ำเสมอ เดินหน้าสู่บริษัทที่มีความยั่งยืน" นางเอื้อมพร กล่าว