ราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นดีดตัวขึ้นหลังร่วงแรงเมื่อวานนี้ โดย ESSO บวก 6.78% หรือเพิ่มขึ้น 0.80 บาท มาที่ 12.60 บาท มูลค่าซื้อขาย 261.886 ล้านบาท
SPRC บวก 3.97% หรือเพิ่มขึ้น 0.50 บาท มาที่ 13.10 บาท มูลค่าซื้อขาย 165.32 ล้านบาท
BCP บวก 2.36% หรือเพิ่มขึ้น 0.75 บาท มาที่ 32.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 137.64 ล้านบาท
TOP บวก 1.40% หรือเพิ่มขึ้น 0.75 บาท มาที่ 54.25 บาท มูลค่าซือขาย 600.99 ล้านบาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นปรับตัวกลับขึ้นมาบวกในวันนี้ คาดว่าเป็นเพราะนักลงทุนมองประเด็นภาครัฐขอความร่วมมือกับโรงกลั่นในการลดค่าการกลั่นเพื่อพยุงราคาน้ำมัน อาจทำได้ยาก เนื่องจากค่าการกลั่นเป็นไปตามกลไกตลาดโลก ขณะเดียวกันในฝั่งของโรงกลั่นเองก็มีต้นทุนสูง
ดังนั้น หากมองในด้านปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มดังกล่าว แนวโน้มกำไรในไตรมาส 2/65 น่าจะเติบโตโดดเด่น จากค่าการกลั่นและราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นมา โดยแนะนำซื้อ ESSO ราคาเป้าหมายที่ 12.50 บาท และ SPRC ราคาเป้าหมาย 13.50 บาท อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก ให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุน แต่สามารถเน้นเก็งกำไรในระยะสั้นได้
ขณะที่ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มโรงกลั่นเผชิญความไม่แน่นอน หลังภาครัฐและนักการเมืองโจมตีโรงกลั่น (และโรงแยกก๊าซ) จากกำไรที่สูงปีนี้จากค่าการกลั่นที่สูงกว่าปกติ และมีการเสนอแนะหลายแนวทางในการเก็บเงินจากกลุ่มโรงกลั่นเพื่อสนับสนุนฐานะของการทุนน้ำมัน รวมไปถึงการเก็บภาษีลาภลอย แม้แนวทางต่างๆ อาจนำไปสู่ภาคปฎิบัติไม่ง่ายและเสี่ยงต่อข้อหาแทรกแซงตลาด
หากอิงแนวทางในปี 51 อาจออกมาในรูปแบบของเงินบริจาค ซึ่งกลุ่มโรงกลั่นเคยบริจาคดังนี้ TOP 920 / PTTAR 600 / IRPC 415 / BCP 261 รวม 2,196 ล้านบาท (ขณะนั้น ESSO และ SPRC ยังไม่เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียน)
ดังนั้น เราคาดหุ้นโรงกลั่นในระยะสั้นจะ Underperform จนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องภาระต้นทุนส่วนนี้