นายณัฐพงษ์ รัตนสุวรรณทวี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอ็นเอฟซี (NFC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าผลักดันรายได้ปี 66 ให้เติบโตแตะ 3,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นรายได้ใหม่ที่จะมาจากการเปิดดำเนินการคลังน้ำมันใน จ.ระยองเข้ามาเต็มปี หลังจากเปิดให้บริการและเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/65 รวมถึงจะรับรู้รายได้การให้บริการระบบสาธารณูปโภคเข้ามาเต็มปีด้วย ส่วนที่เหลือจะมาจากธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายเคมีภัณฑ์ ขณะที่บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาขยายคลังน้ำมันต่อเนื่อง และการให้บริการโลจิสติกส์อื่นๆ
โครงการคลังน้ำมันและท่อส่งน้ำมันเชื้อเพลิง (NFCT Fuel Tank Farm Project) อยู่ภายใต้ บริษัท เอ็นเอฟซีที จำกัด (NFCT) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ NFC ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง คาดว่าจะสร้างรายได้ราวปีละ 270 ล้านบาท โดยจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 4/65 ราว 55 ล้านบาท
คลังน้ำมันและท่อส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบด้วย คลังน้ำมัน และถังจัดเก็บน้ำมันแก๊สโซลีนพื้นฐาน จำนวน 6 ถัง ขนาดความจุรวม 90 ล้านลิตร เพื่อใช้รองรับน้ำมันที่ขนถ่ายมาจากเรือขนน้ำมันนำเข้าขนาดกลาง (medium range) ก่อนที่จะขนสูบผ่าน 2 ทาง คือ ผ่านท่อขนส่งน้ำมันเข้าสู่ระบบท่อส่งน้ำมันของผู้ประกอบการขนส่งน้ำมันทางท่อ และเข้าสู่เรือขนส่งน้ำมันขนาด 2,000-3,000 เดทเวทตัน (DWT) โดยมูลค่ารวมของโครงการอยู่ที่ 83 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นประมาณ 2,570 ล้านบาท
"โครงการ NFCT Fuel Tank Farm Project เป็นการลงทุนขยายขอบเขตธุรกิจการให้บริการด้านโลจิสติกส์ และคลังสินค้าเหลวของกลุ่ม NFC เพื่อสนับสนุนรายได้ให้แก่ธุรกิจหลัก ตลอดจนเพิ่มความหลากหลาย และกระจายความเสี่ยงของการลงทุน ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพ และส่งผลให้ธุรกิจในภูมิภาคเติบโตมากยิ่งขึ้น พร้อมมุ่งกระจายสู่พื้นที่พัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจตะวันออก(EEC) ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งของเครือข่ายจัดส่งน้ำมันระดับภูมิภาคอาเซียน"นายณัฐพงษ์ กล่าว
สำหรับการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตมาที่ 2,400 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้ 1,837.82 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ยังคงมาจากธุรกิจหลัก หรือ ธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายแอมโมเนีย แอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ และกรดกำมะถัน และนอกเหนือจากคลังน้ำมันแห่งใหม่แล้ว ยังจะมีรายได้จากการให้บริการระบบสาธารณูปโภค แก่ บริษัท เอ็นเอฟซี ดับบลิว จำกัด (NFCW) (NFC ถือหุ้น 100%) เข้ามาเพิ่มเติม โดยการให้บริการดังกล่าวมีสัญญาระยะยาว 10 ปี คาดจะสร้างรายได้ราว 220 ล้านบาท/ปี เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/65 เป็นต้นไป
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังมีกระแสเงินสดเพียงพอสำหรับการลงทุนเพิ่มเติม และหากได้ร่วมมือกับผู้ค้าน้ำมันระดับประเทศ ก็เชื่อว่าสถาบันการเงินจะให้การสนับสนุนทางการเงินอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังมองโอกาสนำบริษัทย่อย ทั้ง NFCT , NFCW Spin-Off เพื่อระดมทุนมารองรับการขยายธุรกิจในอนาคต หรือการร่วมลงทุนในรูปแบบการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และร่วมทุน (JV) เพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจด้วย
ส่วนการแก้ปัญหาสภาพคล่องหุ้นของบริษัทฯ ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาทุกแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยจะเร่งดำเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุด ขณะนี้ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาแล้ว มองว่านักลงทุนน่าจะกลับมาเชื่อมั่นใน NFC มากขึ้น จากการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม และมองเห็นโอกาสการเติบโตในอนาคต