นายพิชิต วิวัฒน์รุจิราพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เน็ตเบย์ (NETBAY) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 ที่เติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก หลังจากสภานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น ในขณะเดียวกันความต้องการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ หรือการจัดการบริการเอกสารจากกระดาษเป็นอิเล็กทรอนิกส์มีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
โดยการให้บริการธุรกรรมออนไลน์ (e-Business Services) ของกลุ่มบริษัทแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มบริการ ได้แก่ กลุ่ม Digital Business Services และ กลุ่ม Digital Transformation (Projects) กลุ่ม Digital Business Services ให้บริการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ (B2G) และธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างภาคเอกชนและภาคเอกชน (B2B) ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มบริการ Digital Business Services ของบริษัทจะให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยเริ่มจากกลุ่ม e-Logistics Community บริการหลักระหว่างการให้บริการพิธีการศุลกากรทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร (e-Customs Paperless) หรือระบบผ่านพิธีการศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ หรือลูกค้าผู้ให้บริการนำเข้า ส่งออกสินค้า กลุ่มชิปปิ้ง กลุ่มสายเรือ กลุ่มขนส่งทางอากาศ และอื่นๆ
ขณะที่การให้บริการกลุ่ม Digital Transformation (Projects) บริษัททำการพัฒนาระบบงานสารสนเทศภายในให้แก่ลูกค้าหรือหน่วยงานในรูปแบบของโครงการ บริษัทจึงมีรายได้จากการพัฒนาโครงการตามสัญญาซึ่งจะอยู่ในรูปแบบการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องหรือเป็นรายได้ประจำ (Recurring Income)
นอกจากนี้ ล่าสุด NETBAY ได้เข้าถือหุ้นใน บริษัท เทคคอนส์บิส จำกัด ในสัดส่วน 15% โดยจะร่วมมือกันในการพัฒนานวัตกรรมที่มีอยู่ คือ แพลตฟอร์มดิจิทัล iBox ของ NETBAY และ ระบบ Paperless & Workflow ภายใต้แบรนด์ WOLF by TechCons Biz ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการขยายฐานลูกค้า และตลาดใหม่ๆ ซึ่ง เทคคอนส์บิส มีฐานลูกค้ามากกว่า 100 องค์กร และยังมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายไพโรจน์ ต้นศิริอนุสรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทคคอนส์บิส จำกัด เปิดเผยว่า ทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล iBox และ Paperless & Workflow ให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนจากการใช้กระดาษมาสู่ข้อมูลผ่านระบบดิจิทัลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ ผู้ประกอบการนำเข้าส่งออกสินค้า สถาบันการศึกษา และ โรงพยาบาล ส่งผลให้มีความต้องการใช้แพลตฟอร์มของบริษัทมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
บริษัทคาดว่าหลังจากที่ได้ NETBAY เข้ามาถือหุ้นจะช่วยหนุนให้การขยายฐานลูกค้าของบริษัทได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และเชื่อมั่นว่าจะผลักดันให้ผลประกอบการของบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดหลังจากนี้ ซึ่งบริษัทคาดว่าผลประกอบการจะถึงเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในระยะเวลา 3 ปี ต่อจากนี้ (66-68)