นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ.ยงคอนกรีต (YONG)เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตการเสนอขายหุ้นออกใหม่ต่อประชาชน และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนของ YONG ที่ได้ยื่นขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 180 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.47% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ในครั้งนี้ คาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ภายในปี 2565
YONG ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ คอนกรีตสำเร็จรูปครบวงจร รวมไปถึงผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ ภายใต้เครื่องหมายการค้า "YONG" และรับผลิตตามความต้องการของลูกค้า ได้แก่ 1.โครงสร้าง คาน เสาและผนังสำเร็จรูป รั้วคอนกรีตสำเร็จรูป เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง ขอบคันหิน ท่อคอนกรีตอัดแรง และแผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จ เป็นต้น 2.ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ โดยมีบริษัท พร้อมขนส่ง จำกัด (PT) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้า
จุดเด่นของ YONG ที่มีทีมผู้บริหารซึ่งมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญมากว่า 30 ปี ให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพผลิตภัณฑ์ มาตรฐาน ความปลอดภัย ทีมงานวิศวกรที่มีความรู้ความสามารถในการผลิตและควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐาน จนเป็นที่ยอมรับของกลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้นได้รับมาตรฐานมอก.จากสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) และได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐานระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9001 : 2015 ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของบริษัท ประกอบกับคุณภาพการผลิตและการให้บริการแก่ลูกค้า ทำให้ YONG ได้รับความไว้วางใจจากคู่ค้าทางธุรกิจมาโดยตลอด
นายสรรเพชญ ศลิษฏ์อรรถกร กรรมการผู้จัดการ YONG เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโต รองรับความต้องการคอนกรีตเพิ่มขึ้น ตามแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และงานก่อสร้างของประเทศ ด้วยวิสัยทัศน์ในการมุ่งเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์คอนกรีตด้วยนวัตกรรม มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพ สู่มาตรฐานสากล และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนและนักลงทุนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดความสำเร็จของ YONG
วัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ (1) จะนำไปใช้เป็นเงินลงทุนในการก่อสร้างโรงงานที่อ.บางเลน จ.นครปฐม เพื่อขยายกำลังการผลิตและพัฒนาระบบที่เกี่ยวข้อง (2) ใช้ลงทุนก่อสร้างโรงงานคอนกรีตผสมเสร็จ ที่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี (3) ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน และ(4) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ โดย คาดว่าจะใช้เงินลงทุนดังกล่าวภายในปี 2565 เพื่อรองรับการดำเนินงานของบริษัท ที่จะขยายธุรกิจทั้งในการขยายกำลังการผลิตของโรงงานผลิตเดิม และการเปิดโรงงานการผลิตใหม่เพื่อเป็นการขยายฐานการผลิตของบริษัท
ปัจจุบันบริษัทมีโรงงาน 7 แห่ง และถือเป็นผู้ผลิตคอนกรีตรายใหญ่โซนภาคกลาง และภาคตะวันตก โดยมีสำนักงานใหญ่ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปและคอนกรีตผสมเสร็จ (โรงงานท่าม่วง) อยู่ที่อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี และมีโรงงานสาขาอีก 6 แห่ง แบ่งตามจังหวัดที่ตั้ง ได้แก่ ที่จ.กาญจนบุรี ประกอบด้วย โรงงานวังสารภีและโรงงานทองผาภูมิ ที่จ.นครปฐม ประกอบด้วย โรงงานหนองดินแดงหรือโรงงานนครปฐม โรงงานบางเลน และโรงงานนครชัยศรี และโรงงานชลบุรี ซึ่งแบ่งเป็น (1) โรงงานผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป 3 แห่ง สำหรับผลิตภัณฑ์เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง เสาคานคอนกรีต รั้วคอนกรีต ท่อคอนกรีตอัดแรก และขอบคันหิน ผลิตภัณฑ์แผ่นพื้นสำเร็จรูป แผ่นพื้นมอเตอร์เวย์ แผ่นผนังคอนกรีตสำเร็จรูป-Precast เป็นต้นและ (2)โรงงานผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ 6 แห่ง ที่นอกจากจะผลิตคอนกรีตผสมเสร็จเพื่อใช้ในการผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปแล้ว ยังผลิตคอนกรีตผสมเสร็จเพื่อจำหน่ายให้กับบุคคลภายนอก
โดยสัดส่วนรายได้จากการขายและให้บริการของบริษัทฯ ณ สิ้นไตรมาส 1/65 แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ลูกค้าโครงการภาคเอกชนอยู่ที่ 34.81% กลุ่มลูกค้าโครงการภาครัฐ 3.43% และกลุ่มลูกค้าทั่วไป 61.76% เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง รวมทั้งสร้างโอกาสในการเติบโตเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศช่วงหลังโควิด-19 ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินออกมากระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐบาลและการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ช่วยสนับสนุนบรรยากาศงานก่อสร้างในประเทศให้คึกคักขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงปี 62-64 บริษัทมีรายได้รวม 999.16 ล้านบาท, 806.36 ล้านบาท และ 881.42 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้ในปี 63 ชะลอตัวลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้งานก่อสร้างส่วนใหญ่ชะลอตัวลงทำให้รายได้จากกลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป และธุรกิจขนส่งสินค้า มีรายได้ลดลง ขณะที่รายได้รวมในงวดไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 240.14 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปี 64 อยู่ที 240.47 ล้านบาท
ขณะที่ภาพรวมกำไรในช่วงปี 62-64 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 108.60 ล้านบาท, 44.34 ล้านบาท และ 68.94 ล้านบาท ตามลำดับ และสิ้นสุดไตรมาส 1/65 มีกำไรสุทธิ 19.35 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 11.25, 5.55, 7.92 และ 8.12 ตามลำดับ โดยอัตรากำไรสุทธิในงวด 3 เดือนแรกของปี 65 ปรับตัวดีขึ้นจากงวดปี 64 ฃ
อย่างไรก็ดี บริษัทมีการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้มากกว่า 30% ของรายได้จากการขายและบริการในการดำเนินงานตั้งแต่ช่วงปี 62 ที่ผ่านมา
สำหรับปัจจัยสนับสนุนด้านการเติบโตสำหรับธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทมีความเกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเป็นหลัก รวมถึงการลงทุนของทั้งภาครัฐและเอกชน โดยโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัด ในภาคตะวันออก ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา โดยจะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น รถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อสามสนามบิน เป็นต้น ส่งผลให้มีความต้องการวัสดุก่อสร้างจากผู้ประกอบการในแถบพื้นที่บริเวณนั้นเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อบริษัทเนื่องจากบริษัทสามารถที่จะจำหน่ายวัสดุก่อสร้างได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากบริษัทมีโรงงานผลิตที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี และมีแผนการลงทุนในอนาคตที่จะลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปที่จังหวัดระยอง ขณะที่การลงทุนจากภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ