นายอดิเทพ พิศาลบุตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท เคมิคอล (PTTCH) กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนเม็ดพลาสติกในต่างประเทศเพิ่มเติม คาดจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 2/51 โดยแนวทางการลงทุนจะเป็นรูปแบบ M&A และหาผู้ร่วมทุนกับพันธมิตรธุรกิจที่จะต้องมีจุดแข็งของตัวเอง และสามารถสร้างรายได้ที่ดีจากการลงทุนร่วมกัน
"บริษัทไม่ได้ปิดตัวเอง หากรายใดเสนอให้ผลตอบแทนดี และมีข้อเสนอที่ดีก็พร้อมไปลงทุนทั่วโลก บริษัทมีกระแสเงินสดกว่า 1 หมื่นล้านบาทที่พร้อมจะลงทุน"นายอดิเทพ กล่าว
สำหรับโครงการลงทุนในอิหร่านที่ล่าช้าออกไป นายอดิเทพ กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่า ในช่วงไตรมาส 2/52 จะสามารถเริ่มผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งจะเป็นโรงงานเม็ดพลาสติก ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 10% คาดว่าจะได้รับรายได้ตามสัดส่วน ประมาณ 36 ล้านเหรียญต่อปี
*บาทแข็งส่งผลดีลงทุน-หนี้ตปท. แต่กระทบกำไรไม่มาก/สเปรดปีนี้ต่ำกว่าปีก่อน
นายอดิเทพ กล่าวว่า จากสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าจะส่งผลดีต่อการลงทุนในต่างประเทศของบริษัท รวมถึงภาระหนี้ต่างประเทศ ขณะเดียวกับผลกระทบกับกำไรสุทธิไม่น่าจะมีมากนัก เพราะประเมินว่าหากเงินบาทแข็งค่าทุก 1 บาท จะส่งผลให้กำไรของบริษัทหายไปกว่า 200 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีกำไรในระดับหมื่นล้านบาท
"ยอมรับว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าทุก 1 บาทจะทำให้กำไรของเราหายไปกว่า 200 ล้านบาท แต่เราก็มีการลงทุนในต่างประเทศ และมีหนี้ดอลลาร์สหรัฐอยู่ประมาณ 300 ล้านเหรียญ มันก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบมาก เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของเรากว่าหมื่นล้านบาท" นายอดิเทพ กล่าว
สำหรับปีนี้บริษัทคาดว่าส่วนต่าง(สเปรด)ระหว่างวัตถุดิบกับราคาขาย(ทุกผลิตภัณฑ์) จะอยู่ที่ 650 เหรียญ/ตัน ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนที่เฉลี่ยที่ 700 เหรียญ/ตัน โดยในไตรมาสแรกปีนี้ สเปรดอยู่ที่ 700 เหรียญ/ตัน เนื่องจากแนวโน้มราคาเอทิลีน และ MEG ปรับตัวลดลงในปีนี้ หลังจากสถานการณ์ความตึงตัวของซัพพลายในตลาดโลกคลี่คลายลง
ทั้งนี้ MEG ปรับลดจาก 1,500 เหรียญ/ตัน มาอยู่ที 1,100 เหรียญ/ตัน ส่วน HDPE คาดว่าจะยืนในระดับที่ 1,500 เหรียญ/ตันได้ รวมทั้งโรงงานใหม่ในตะวันออกกลางจะเริ่มมีกำลังการผลิตปิโตรเคมี เข้ามาในตลาด
*คาดปี 54 รายได้โตก้าวกระโดด
นายอดิเทพ กล่าวอีกว่า แผนการลงทุนในช่วง 5 ปี มูลค่ารวม 9 หมื่นล้านบาทที่จะสิ้นสุดแผนในปี 54 และทุกโครงการเริ่มทำการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 1.5 ล้านตันและรายได้จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 1.2 แสนล้านบาทในปี 54 จากปี 51 ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท
"ในปี 2011 (พ.ศ.2554) จะเห็นชัดเจนว่าบริษัทจะมีรายได้อย่างก้าวกระโดด ไปอยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับชั้นนำ และก็ไม่ต้องกลัวเรื่องวัตถุดิบ รวมถึงราคานาฟทาที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 800-900 เหรียญ/ตัน เพราะเราใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก ซึ่งใช้นาฟทาเพียง 20% ถือว่าเรามีต้นทุนการผลิตต่ำกว่ารายอื่น ซึ่งอย่างตะวันออกกลาง เขาก็ใช้นาฟทา" นายอดิเทพ กล่าว
นอกจากนี้ ในเดือนพ.ค.นี้ บริษัทมีแผนจะไปโรดโชว์ในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น เพื่อชี้แจงข้อมูลกับนักลงทุนสถาบัน โดยร่วมกับบริษัทในกลุ่มปตท.(PTT)
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/เสาวลักษณ์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--