นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) กล่าวว่า บริษัทนำหุ้นเพิ่มทุนเข้าซื้อขายวันแรกเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.65 ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว ซึ่งช่วยให้ RATCH สามารถสานต่อแผนการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ โดยมุ่งขยายการเติบโตจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าไปสู่ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและธุรกิจอื่นที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว และยกระดับองค์กรสู่ "บริษัทชั้นนำด้านพลังงานและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก"
บริษัทมีแผนนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้รวม 2.5 หมื่นล้านบาทรองรับการปรับโครงสร้างเงินทุน โดยนำไปชำระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและคงอัตราส่วนทางการเงิน เป็นไปตามข้อกำหนดของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ รวมถึงรองรับแผนการขยายธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยบริษัทได้กระจายการลงทุนไปยังโครงการระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและธุรกิจอื่นที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว กำหนดเป้าหมายไว้ที่ 20% ของงบลงทุน พร้อมสร้างฐานธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้การขยายและต่อยอดการลงทุนมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ เพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
บริษัทมีเป้าหมายระยะยาวที่จะก้าวสู่ผู้นำพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยตั้งเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมีสัดส่วนกำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนถึง 25% ภายในปี 68 จากปัจจุบันอยู่ที่ 15% อีกทั้งวางเป้าหมายเพิ่มมูลค่ากิจการแตะ 2 แสนล้านบาท
และยังมีเป้าหมายยกระดับการจัดการด้านความยั่งยืนโดยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้ 6 แนวทางในการดำเนินงาน เพื่อไปสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ซึ่งสอดรับกับแนวทาง ESG โดยเริ่มตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนต่อเนื่องทุกปี การกระจายการลงทุนในธุรกิจคาร์บอนต่ำ การเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงและพลังงาน การปลูกป่าเพื่อสร้างแหล่งดูดกลับก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งกำหนดสัดส่วนประเภทเชื้อเพลิงสำหรับการลงทุน และจำกัดเพดานการลงทุนเชื้อเพลิงถ่านหิน ด้วยแนวทางดังที่กล่าวมา บริษัทเชื่อมั่นว่าจะช่วยจำกัดและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
แม้ภาพรวมสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่เป็นแรงหนุนต่อราคาพลังงานในตลาดโลกจะทำให้ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น แต่ปัญหาดังกล่าวไม่ได้มีผลกระทบต่อ RATCH อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากสามารถส่งผ่านราคาต้นทุนเชื้อเพลิงไปสู่ผู้รับซื้อไฟฟ้ารายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้การทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า จึงไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานในปัจจุบัน
ส่วนแผนดำเนินงานปี 65 บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศไทยนอกจากการลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนแล้ว ยังมุ่งลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ประเภทโคเจนเนอเรชั่นที่จะช่วยสร้างการเติบโตและเพิ่มมูลค่ากิจการในอนาคต
ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งงบลงทุนในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้าราว 2.8 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 93% ของงบลงทุน แบ่งเป็น งบลงทุนโครงการใหม่ 2.65 หมื่นล้านบาท และโครงการเดิม 1.5 พันล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 7% หรือราว 2 พันล้านบาท จะใช้เพื่อลงทุนในธุรกิจอื่นๆนอกเหนือไปจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า