นายจตุรงค์ ศรีกุลเรืองโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง (TIGER) เปิดเผยว่า หลังจากที่โควิด-19 ได้คลี่คลายลงไป และเริ่มมีการเปิดเมือง เปิดประเทศกลับมาอีกครั้ง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวขึ้น และทำให้การลงทุนต่างๆเริ่มทยนอยกลับมา โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าภาคเอกชนที่มีเริ่มเห็นการกลับมาทยอยลงทุนก่อสร้างโครงการต่างๆจากแผนเดิมที่ชะลอการลงทุนในช่วงโควิด-19 ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่บริษัทจะเข้าไปขยายการรับงานมากขึ้น จากเดิมที่มีกลุ่มงานรับเหมาก่อสร้างและตกแต่งภายในของลูกค้าหน่วยงานภาครัฐเป็นหลัก โดยที่สัดส่วนงานของกลุ่มลูกค้าภาคเอกชนในปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาที่ 10% และสัดส่วนกลุ่มลูกค้าหน่วยงานภาครัฐจะอยู่ที่ 90%
ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเดินหน้าติดตามและเข้าประมูลงานรับเหมาก่อสร้างและตกแต่งภายในอย่างต่อเนื่อง โดยชนะการประมูลมาได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งจะมีการทยอยเซ็นสัญญาในช่วงครึ่งปีหลังราว 500-600 ล้านบาท คาดว่าจะทำให้บริษัทสามารถรักษาระดับมูลค่างานในมือ (Backlog) ในช่วงสิ้นปี 65 กลับไปใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ที่ 1.2-1.5 พันล้านบาท และยังคงมีงานประมูลโครงการใหม่ๆ ที่บริษัทอยู่ระหว่างติดตามอย่างต่อเนื่อง
"งานส่วนใหญ่ในตอนนี้เป็นงานภาคเอกชนค่อนข้างมาก หลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้น ทำให้ภาคเอกชนมั่นใจ และกลับมาลงทุน ซึ่งเราเห็นโอกาสนี้ก็ทยอยเข้าไปรับงานเอกชนเพิ่มขึ้น แม้ว่าสัดส่วนงานหลักของเราจะเป็นงานภาครัฐ แต่ยอมรับว่างานภาครัฐตอนนี้ออกมาค่อนข้างช้า ทำให้เราต้องหาโอกาสจากงานภาคเอกชนเข้ามาเสริม" นายจตุรงค์ กล่าว
ด้านภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 65 บริษัทมั่นใจว่าจะเห็นการฟื้นตัวกลับไปใกล้เคียงกับช่วงระดับก่อนเกิดโควิด-19 ทั้งในส่วนของรายได้และกำไร จากการที่การก่อสร้างต่างๆสามารถทำได้ต่อเนื่อง ไม่มีการติดขัดในเรื่องมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เข้มงวดเหมือนช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้สามารถทำงานส่งมอบลูกค้าได้ตามกำหนด และมีงานใหม่ๆที่เข้ามาเสริมทยอยรับรู้รายได้ โดยที่ปัจจุบันบริษัทมี Backlog ราว 900 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในครึ่งปีหลังราว 60-70%
ส่วนการปรับตัวสูงขึ้นของต้นทุนวัสดุก่อสร้างนั้นมีผลกระทบต่อมาร์จิ้นงานเก่าของบริษัทบางงานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างบ้างเล็กน้อย แต่บริษัทพยายามควบคุมต้นทุนการก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไร ส่วนงานใหม่ๆ ที่เข้ามาจะมีการปรับขึ้นราคาให้สอดคล้องกับต้นทุนในปัจจุบัน เพื่อทำให้บริษัทยังสามารถรักษามาร์จิ้นได้ โดยจะรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 6%
สำหรับการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัท คอรัล ไลฟ์ จำกัด บริษัทเล็งเห็นถึงเทรนด์การพัฒนาอาคารที่ประหยัดพลังงานที่คนเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น โดยการนำมาตรฐาน Passive House ของเยอรมันนีมาใช้ในการควบคุมคุณภาพอากาศภายในอาคารหรือบ้านเรือน ทำให้สามารถประหยัดพลังงานได้มากและคุ้มค่าในระยะยาว แม้ว่าจะมีค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นกว่าปกติ 30% แต่ได้ความคุ้มค่าในเรื่องของการประหยัดไฟ และอากาศภายในอาคารหรือบ้านเรือน
ทั้งนี้ TIGER และบริษัท คอรัล ไลฟ์ จำกัด ได้มีการนำโซลูชั่นดังกล่าวไปนำเสนอให้กับลูกค้าต่างๆ ซึ่งมีลูกค้าให้การตอบรับในการใช้ระบบมาตรฐาน Passive House มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าจะมีมูลค่างานที่ใช้การก่อสร้างด้วยระบบมาตรฐาน Passive House เข้ามาราว 100 ล้านบาท โดยที่มีงานเข้ามาแล้ว 40-50% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้