ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW) เป็นระดับ "A" พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" จากเดิมที่ระดับ "A+" และแนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" เป็น "Stable" หรือ "คงที่"
ทั้งนี้ การลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นไปได้อย่างมากที่บริษัทจะไม่สามารถต่อสัญญาเช่าระบบท่อส่งน้ำของกรมธนารักษ์ได้หลังจากที่สัญญาเช่าดังกล่าวจะหมดอายุลงในเดือนธันวาคม 2566
ระบบท่อส่งน้ำที่บริษัทเช่าจากกรมธนารักษ์คิดเป็น 27% ของความยาวของระบบท่อส่งน้ำทั้งหมดที่ดำเนินการโดยบริษัท ส่วนยอดขายน้ำดิบผ่านท่อที่เช่าจากกรมธนารักษ์นั้นคิดเป็นประมาณ 30% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทในปี 2564
ทั้งนี้ อันดับเครดิตที่ระดับ "A" นั้นยังคงสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการหลักซึ่งมีโครงข่ายท่อส่งน้ำดิบครอบคลุมในเขตพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor ? EEC) ตลอดจนกระแสเงินสดที่แน่นอนและความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงงบลงทุนของบริษัทที่เพิ่มขึ้นในช่วงปี 2565-2566 สำหรับใช้ในการพัฒนาระบบท่อส่งน้ำใหม่เพื่อทดแทนระบบท่อส่งน้ำเดิมที่จะหมดสัญญาเช่าในปี 2566
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
- ความไม่แน่นอนในการคงไว้ซึ่งสถานะผู้ให้บริการน้ำดิบเพียงรายเดียวในเขตพื้นที่ EEC
ณ ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ให้บริการระบบท่อส่งน้ำดิบเส้นหลักในเขตพื้นที่ EEC แต่เพียงรายเดียวโดยครอบคลุมพื้นที่ให้บริการและแหล่งน้ำในเขตจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา โดยระบบท่อส่งน้ำหลักและท่อจัดจำหน่ายของบริษัทรวมแล้วมีความยาวทั้งสิ้น 512 กิโลเมตร (กม.) ซึ่งประกอบด้วยระบบท่อส่งน้ำของบริษัทเอง 376 กม. และระบบท่อส่งน้ำที่บริษัทเช่าจากกรมธนารักษ์ 136 กม. ในปี 2564 กรมธนารักษ์ได้ประกาศคัดเลือกบริษัทเอกชนเพื่อทำการเช่าระบบท่อส่งน้ำของกรมธนารักษ์ ความยาว 136 กม. ในเขตพื้นที่ EEC ซึ่งประกอบด้วย ท่อส่งน้ำดอกกราย ท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และท่อส่งน้ำหนองค้อ?แหลมฉบัง (ระยะที่1และ2)
การคัดเลือกบริษัทเอกชนเพื่อทำการเช่าระบบท่อส่งน้ำได้มีขึ้น 2 ครั้งในเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายน 2564 โดยบริษัทเอกชนรายใหม่ได้รับการคัดเลือกเพื่อให้เข้ามาบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำดังกล่าว ต่อมาเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2565 คณะกรรมการที่ราชพัสดุได้อนุมัติยอมรับผลการคัดเลือกและให้กรมธนารักษ์เข้าทำสัญญากับเอกชนรายใหม่ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อให้พิจารณาการยกเลิกการคัดเลือกครั้งที่ 1 และการออกประกาศพร้อมหนังสือเชิญชวนฉบับใหม่ซึ่งบริษัทกล่าวว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย ปัจจุบันคดีความอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครองกลาง
ปัจจุบันสัญญาเช่าระบบท่อส่งน้ำระหว่างกรมธนารักษ์และผู้ให้บริการรายใหม่ยังไม่มีการลงนามในสัญญาอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้หากมีการลงนามในสัญญาเช่าดังกล่าวแล้ว กรมธนารักษ์จะส่งมอบระบบท่อส่งน้ำให้เช่าทั้งหมดให้แก่ผู้ประกอบการรายใหม่ภายในสิ้นปี 2566 ซึ่งจะส่งผลให้มีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้นที่บริษัทจะสูญเสียสถานะในการเป็นผู้ให้บริการน้ำดิบแต่เพียงรายเดียวและความสามารถในการแข่งขันกับผู้ให้บริการน้ำดิบรายอื่น ๆ ในเขตพื้นที่ EEC
- คาดว่ารายรับจะลดลงระหว่างปี 2565-2567
แม้ว่าความต้องการน้ำดิบในพื้นที่ EEC จะเพิ่มมากขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะลดลงระหว่างปี 2565-2567 ทั้งนี้เมื่อผู้ประกอบการรายใหม่ได้ลงนามในสัญญาเรียบร้อยแล้ว ทริสเรทติ้งเชื่อว่าผู้ให้บริการน้ำรายใหม่จะเข้าให้บริการแก่ลูกค้าปัจจุบันของบริษัทบางส่วน โดยปริมาณการจำหน่ายน้ำดิบผ่านท่อที่เช่าจากกรมธนารักษ์นั้นคิดเป็น 56% ของปริมาณน้ำดิบทั้งหมดที่บริษัทจำหน่ายในปี 2564
จากประมาณการกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าผู้ให้บริการรายใหม่จะเริ่มดำเนินการโดยให้บริการผ่านทางระบบท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อและท่อส่งน้ำหนองค้อ?แหลมฉบัง (ระยะที่ 2) ภายในครึ่งหลังของปี 2565 และจะดำเนินการในเส้นทางท่อของกรมธนารักษ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ คาดว่ารายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบของบริษัทในปี 2565-2567 จะลดลง 15%-30% จากตัวเลขในปี 2564 แต่จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นในการจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรมน่าจะส่งผลทำให้รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 4.2-4.5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2567 โดยลดลง 5%-10% จากปี 2564
- ภาระหนี้จะเพิ่มขึ้นจากโครงการลงทุนสร้างระบบท่อส่งน้ำใหม่
บริษัทได้วางแผนที่จะรักษาลูกค้าปัจจุบันของบริษัทเอาไว้โดยการลงทุนในระบบท่อส่งน้ำใหม่ซึ่งขนานไปกับท่อส่งน้ำเดิมที่จะหมดสัญญาเช่า โดยเงินลงทุนคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4.2 พันล้านบาท
ทริสเรทติ้งคาดว่าโครงสร้างหนี้ของบริษัทจะค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปีประมาณการเพื่อรองรับแผนการลงทุนจำนวนประมาณ 4 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2566 และ 2 พันล้านบาทในปี 2567 ทั้งนี้ นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายลงทุนที่เพิ่มเข้ามาเพื่อสร้างระบบท่อส่งน้ำทดแทนระบบท่อส่งน้ำเดิมที่เช่าจากกรมธนารักษ์ซึ่งคิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 4.2 พันล้านบาทในช่วงปี 2565-2566 แล้ว บริษัทยังวางแผนลงทุนในการจัดหาแหล่งน้ำเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นของลูกค้าและเพื่อแก้ปัญหาความไม่แน่นอนของสถานการณ์ภัยแล้งซึ่งรวมถึงการก่อสร้างท่อส่งน้ำใหม่เพื่อเชื่อมต่อกับ "อ่างเก็บน้ำคลองหลวง" ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มแหล่งน้ำให้แก่พื้นที่ในจังหวัดชลบุรีตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป
บริษัทจะนำเงินลงทุนส่วนที่เหลือไปใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพของท่อส่งน้ำในพื้นที่ EEC รวมทั้งใช้เสริมประสิทธิภาพเทคโนโลยีและเครื่องจักรเพื่อสนับสนุนการให้บริการน้ำแบบครบวงจรโดยรวม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นประมาณ 50%-60% ในระหว่างปี 2565-2567 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 6-9 เท่าในปี 2565-2567
ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 46.2% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ระดับ 4.3 เท่าในไตรมาสแรกของปี 2565 เป็นผู้ให้บริการน้ำดิบรายสำคัญในเขตพื้นที่ EEC
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงเป็นผู้ให้บริการน้ำดิบรายสำคัญในเขตพื้นที่ EEC แม้ว่าจะมีผู้ให้บริการรายใหม่เข้ามาให้บริการในพื้นที่เดียวกันก็ตาม ทั้งนี้ บริษัทมีระบบท่อส่งน้ำของบริษัทเองซึ่งมีความยาว 376 กม. หรือคิดเป็น 73% ของความยาวท่อทั้งหมดที่ดำเนินการโดยบริษัท
บริษัทมีแหล่งน้ำที่เพียงพอทั้งที่เป็นแหล่งน้ำของภาครัฐและภาคเอกชน ความจุของแหล่งน้ำที่บริษัทมีสิทธิสูบมาใช้ได้อยู่ที่จำนวนทั้งสิ้นประมาณ 430 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อปีที่ความจุสูงสุด โดยน้ำที่สูบออกมาใช้คิดเป็น 76% ของแหล่งน้ำทั้งหมดของบริษัทในปี 2564
อุปสรรคในการเข้ามาแข่งขันของผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ นั้นมีค่อนข้างสูงเนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากและความยากในการได้ใบอนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการก่อสร้างท่อส่งน้ำและสิทธิ์ในการสูบน้ำจากแหล่งน้ำของภาครัฐ อุปสงค์ในการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นในเขตพื้นที่ EEC
ทริสเรทติ้งคาดว่าความต้องการใช้น้ำในเขตพื้นที่ EEC จะเพิ่มขึ้นหลังจากที่มีการเปิดประเทศหลังจากผ่อนคลายจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ทั้งนี้ การที่ภาคอุตสาหกรรมเริ่มกลับสู่การดำเนินงานตามปกติ ปริมาณการผลิตก็น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพื่อรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ อนึ่ง ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมาบริษัทได้ให้บริการน้ำแบบครบวงจรซึ่งประกอบด้วย การให้บริการน้ำดิบ น้ำประปา และน้ำเพื่อการอุตสาหกรรม รวมถึงการให้บริการบำบัดน้ำเสียและการนำน้ำที่บำบัดแล้วกลับมาใช้ใหม่ด้วย
บริษัทได้ทำสัญญากับหลายบริษัทที่มีชื่อเสียง เช่น บริษัท กัลฟ์ พีดี จำกัด บริษัท อมตะ วอเตอร์ จำกัด สนามบินอู่ตะเภา บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในการให้บริการน้ำดิบ น้ำประปา รวมถึงน้ำเพื่อการอุตสาหกรรม ซึ่งบริษัทได้ทยอยให้บริการเหล่านี้มาตั้งแต่ปี 2564
จากประมาณการกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าอุปสงค์น้ำเพื่อการอุตสาหกรรม น้ำประปา รวมถึงการให้บริการบำบัดน้ำเสียและการนำน้ำที่บำบัดแล้วกลับมาใช้ใหม่จะสร้างรายได้ปีละ 400 ล้านบาทให้แก่บริษัทในระหว่างปี 2566-2567
- ความสามารถในการทำกำไรยังคงแข็งแกร่ง
ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งและกระแสเงินสดที่แน่นอนเป็นจุดแข็งที่สำคัญของบริษัท แม้ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะลดลงหลังจากเสียสัญญาในการดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำของกรมธนารักษ์ให้แก่ผู้ประกอบการรายใหม่ แต่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทก็น่าจะยังคงแข็งแรงโดยอยู่ที่ระดับประมาณ 1.8-2 พันล้านบาทต่อปีตลอดช่วงปีประมาณการ โดยลดลง 10%-15% จากระดับ 2.0-2.4 พันล้านบาทในช่วงปี 2558-2564 ส่วนอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายนั้นก็น่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 45%-50% ในช่วงปีประมาณการ จากระดับ 48%-55% ในช่วงปี 2558-2564
- สภาพคล่องเพียงพออยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยแหล่งเงินทุนประกอบด้วยเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 1 พันล้านบาทและวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากสถาบันการเงินอีกจำนวน 4.5 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 นอกจากนี้ เงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าก็คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.9 พันล้านบาท แหล่งเงินทุนเหล่านี้น่าจะเพียงพอในการจ่ายชำระหนี้และลงทุนในอีก 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทจะต้องจ่ายชำระหนี้เงินกู้ยืมระยะยาวที่จะครบกำหนดในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 2.3 พันล้านบาท โดยงบประมาณสำหรับการลงทุนในปี 2565 นั้นอยู่ที่จำนวน 4 พันล้านบาท
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขของหุ้นกู้ได้ในช่วงเวลา 12-18 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ตามหลักเกณฑ์การคำนวณที่กำหนดในหนังสือชี้ชวน) ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 อยู่ที่ 1 เท่าซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าเงื่อนไขของหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ที่ 2 เท่า ทั้งนี้ สัดส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนของบริษัทจึงอยู่ที่ 4% ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- บริษัทจะสามารถรักษาลูกค้าจากระบบท่อส่งน้ำที่หมดสัญญาเช่าได้ 50%-60%
- รายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 4.2-4.5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2567
- อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับ 45%-50% ในระหว่างปี 2565-2567
- งบลงทุนรวมจะอยู่ที่ระดับ 4.0 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566 และ 2.0 พันล้านบาทในปี 2567
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าการดำเนินธุรกิจของบริษัทจะยังคงมีความยืดหยุ่นและสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงจากลูกค้าปัจจุบันต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตน่าจะยังไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นหากผลการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเกิดจากการที่บริษัทสูญเสียลูกค้าเป็นจำนวนมากหรือบริษัทไม่สามารถสร้างระบบท่อส่งน้ำใหม่เพื่อทดแทนระบบท่อส่งน้ำเดิมที่เช่าจากกรมธนารักษ์ให้แล้วเสร็จได้ภายในปี 2566