นายอภิชาต แสงจันทร์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.ทรีนีตี้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป (BLESS) เปิดเผยว่า ผลจองซื้อหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.40 บาท ระหว่างวันที่ 29-30 มิ.ย. และ 1 ก.ค.65 ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยมียอดจองซื้อเข้ามาจำนวนมาก ถือเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ BLESS ในฐานะผู้ประกอบการอสังหาฯขนาดเล็กที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในอนาคตจะสามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นหลังจากที่มีความพร้อมในเรื่องของฐานทุนและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันที่ 7 ก.ค.นี้ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า "BLESS" ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
"หุ้น BLESS ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากผลประกอบการมีความโดดเด่น ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2562-2564) รายได้เติบโตเฉลี่ย 20% โดยในปี 63 เป็น New high เนื่องจากสินค้ามีความโดดเด่น ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ตั้งอยู่ในโลเคชั่นที่ดี การคมนาคมสะดวก ขณะเดียวกันในด้านการกำหนดราคาขายก็อยู่ในระดับเหมาะสมสามารถจับต้องได้ อย่างไรก็ตามในปี 64 ผลประกอบการลดลงเล็กน้อย เนื่องจากในปี 63 ได้รับผลกระทบจากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และการปิดแคมป์คนงานซึ่งเป็นผลพวงเกี่ยวเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถโอนบ้านได้ตามแผนที่กำหนด แต่ยังคงรักษาระดับกำไรขั้นต้น (GP) ได้ที่กว่า 30% และ Net profit ที่ไม่น้อยกว่า 10% "นายอภิชาต กล่าว
นายชัยวัฒน์ โกวิทจินดาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BLESS กล่าวว่า บริษัทประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่พักอาศัยเพื่อขาย แบ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบประกอบด้วยบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม (Low rise) ภายใต้ชื่อโครงการ Blessington, Mellizo Park, Bless Town, Blessity Park, Bless Ville และ Bleisure กล่าวว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายเปิดตัวโครงการไม่น้อยกว่าปีละ 2-3 โครงการ ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยเน้นการพัฒนาโครงการที่มีความหลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา และจากฐานรายได้ที่ไม่ใหญ่มาก ทำให้มั่นใจว่าในอนาคตจะสามารถเติบโตได้แบบก้าวกระโดด เพราะตอนนี้ BLESS มีความพร้อมในเรื่องของฐานทุนเพื่อการขยายธุรกิจ
ทั้งนี้ ในส่วนของความสามารถในการทำกำไร บริษัทฯ ตั้งเป้ากำไรขั้นต้นไม่น้อยกว่าในอดีต ที่ผ่านมา และทำให้ความสามารถมีอัตรากำไรที่ดีขึ้น จาก Economy of scales และการ Utilize fixed cost ของบริษัท
สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ คาดว่ายังคงเติบโตต่อไป โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่ได้รับปัจจัยบวกจากการใช้ชีวิตแบบ New normal และการขยายตัวของเมืองและระบบขนส่งมวลชน แต่อาจได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้เกิดปัญหาสินค้าต่างๆ ราคาสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่เบื้องต้นบริษัทฯยังเชื่อว่าตลาดอสังหาฯแนวราบ ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ตามดีมานด์ของผู้บริโภค