นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ ต่อมุมมองด้านการลงทุนครึ่งปีหลังของปี 2565 โดยครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจ 24 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ 20 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 3 บริษัท และบริษัทโกลด์ฟิวเจอร์ส 1 บริษัท
ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
สมมติฐานหลัก มีการปรับเพิ่มราคาน้ำมันดิบของปีนี้จาก 94.03 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาเป็น 102.36 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 65 จะฟื้นตัว โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่อัตราเติบโต 3.18% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการสำรวจครั้งก่อน (เม.ย.65) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 3.09%
ปัจจัยที่จะมีผลต่อทิศทางการลงทุนตลอดครึ่งปีหลังนี้ ปัจจัยบวก ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย มีผู้โหวต 75% รองมาคือ สถานการณ์โควิดในประเทศไทยที่เบาลงจนสามารถเปิดเมือง มีผู้ตอบแบบสำรวจ 62% และอันดับที่ 3 คือ สถานการณ์โควิดโลก มีผู้ตอบ 58% ตามลำดับ
ส่วนปัจจัยลบ มีความชัดเจนมากถึง 5 ปัจจัย เห็นได้จากการโหวตอย่างท่วมท้น ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มมีความกังวลถึงภาวะถดถอย และ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยมีผู้ตอบทั้ง 2 ปัจจัยนี้ที่ระดับ 92% เท่ากัน ส่วนอันดับ 3 คือ การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้ตอบมากถึง 83% ส่วนอันดับ 4 คือ ปัจจัยการเมืองในต่างประเทศ มีผู้ตอบ 79%
และอันดับที่ 5 คือ แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในประเทศไทยที่มีผู้โหวตว่าเป็นปัจจัยลบมาถึง 75% ซึ่งในประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นั้น เสียงโหวต 96% คาดว่าจะมีการปรับขึ้นในครึ่งหลังของปี 65 อย่างแน่นอน แต่ระดับการคาดแตกต่างกันไป เรียงลำดับขนาดการปรับขึ้นดังนี้
- 25% คาดว่าจะขึ้น 0.25% ในครึ่งปีหลัง
- 37% คาดว่าจะขึ้น 0.50% ในครึ่งปีหลัง
- 17% คาดว่าจะปรับขึ้น 0.75% ในครึ่งปีหลัง
- 17% คาดว่าจะปรับขึ้น 1.00% หรือมากกว่า ในครึ่งปีหลัง
อย่างไรก็ตาม มีนักวิเคราะห์ 4% ที่มองสวนทางว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลง 0.25% ในครึ่งปีหลัง
ส่วนคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 65 ของตลาดหุ้นไทย มีค่าเฉลี่ยที่ 94.47 บาทเพิ่มขึ้นกว่าผลสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 89.11 บาทต่อหุ้น และครั้งนี้คาดการณ์ EPS Growth ของปี 65 อยู่ที่ 8.20 %
ทางด้านคาดการณ์ทิศทางหุ้นไทย ในระยะสั้นช่วงไตรมาส 3/65 ส่วนใหญ่คาดว่ามีแนวโน้มทางลบ รองลงมาคาดว่าเป็น Sideways แต่ก็มีผู้ตอบประมาณ 4% ที่มองว่าเป็นทิศทางบวก โดยมีค่าเฉลี่ยคาดการณ์ดัชนีราคาหุ้นไทย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 1,569 จุด
สำหรับคาดการณ์จุดสูงสุดของ SET Index ช่วงก.ค.-ธ.ค. 65 เฉลี่ยที่ระดับ 1,662 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,486 จุด และเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 65 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,646 จุด ซึ่งลดลง 101 จุดจากระดับคาดการณ์ไว้ครั้งก่อนที่ 1,747 จุด
นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น
- เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 18.63% - กองทุนตราสารหนี้ 14.06% - หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 27.39%
- หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 22.92%
- กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 7.31% - ทองคำหรือกองทุนทองคำ 8.63% - อื่นๆ เช่น น้ำมัน 1.06%
สำหรับการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร ท่องเที่ยว สื่อสาร และการแพทย์ ขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำ ตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)
1. BBL ได้ประโยชน์จากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น จากการมีสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นดอกเบี้ยลอยตัว ขณะที่เงินฝากมี 40% ที่ดอกเบี้ยลอยตัว งบดุลแข็งแกร่ง มูลค่าหุ้นถูก มี PER 7 เท่า และ PBV 0.5 เท่า รวมทั้งมี Dividend Yield ที่สูง 4% ต่อปี
2. BEM แนวโน้มรถใช้ทางด่วนและผู้โดยสารรถไฟฟ้าฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการเปิดเทอม เปิดเมืองและยังได้ประโยชน์จากการกลับมาเปิดศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ใน ก.ย.นี้
3. CPN มีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดเมือง และการให้ส่วนลดค่าเช่าน้อยลง
4. KBANK คาดว่าธนาคารจะมีอัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ที่สูงขึ้นและคุณภาพสินเชื่อที่ปรับดีขึ้น และมีมุมมองเชิงบวกเรื่องการร่วมทุนกับ JMT อีกด้วย
ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงการช่วยเหลือประชาชน ทั้งปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การลดค่าครองชีพและการเพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชน เพื่อกระตุ้นการบริโภค ตามมาด้วย การช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ การกระตุ้นการลงทุน การช่วยสภาพคล่องรักษาการจ้างงาน SME รวมถึงสนับสนุนกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานสูงขึ้น และข้อแนะนำสุดท้าย เสนอให้เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน