ท่านนางสายสมร กล่าวว่า การหารือกับนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท.ในสาระสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งผู้จัดการ ตลท.สนับสนุนการดึงดูดผู้ลงทุน และช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาดหุ้นลาว
โดยในระหว่างหารือหยิบยกเครื่องมือที่น่าสนใจ คือ การออก Depositary Receipt (DR) หรือตราสารแสดงสิทธิหลักทรัพย์ต่างประเทศเพื่อให้นักลงทุนในไทยสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ ซึ่งที่ผ่านมามีเอกชนไทยได้ออก DR เพื่อลงทุนในหลักทรัพย์ในเวียดนาม ฮ่องกง และจีน เป็นต้น จึงได้รับจะไปพิจารณาปรับหลักเกณฑ์เพื่อรองรับ DR เพื่อการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ลาว
นอกจากนั้น ยังหารือเพื่อสานต่อประเด็น Dual Listing เพื่อช่วยให้บริษัททั้งสองประเทศสามารถใช้ช่องทางการระดมทุนข้ามประเทศได้อย่างสะดวก และการให้ความรู้แก่บุคลากรในตลาดทุน รวมถึงผู้ประกอบการที่สนใจเข้ามาระดมทุนเพื่อให้เข้าใจความสำคัญในการใช้ช่องทางตลาดทุนเป็นเครื่องมือในการระดมทุน
ส่วนการเข้าพบเลขาธิการ ก.ล.ต.ไทย ก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ซึ่งในส่วนของก.ล.ต.ก็ได้เน้นในกรอบของการคุ้มครองผู้ลงทุนและการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่ต้องเอื้อต่อการเข้ามาระดมทุนของผู้ประกอบการและโปร่งใสเป็นธรรมกับผู้ลงทุนทุกฝ่าย
ผู้อำนวยการใหญ่ LSX ยังกล่าววว่า หนึ่งในแนวทางที่ตลาดหุ้นลาวเห็นว่าจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับนักลงทุน คือ การนำรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนเพิ่มเติม เนื่องจาก 2 บริษัทที่มีการซื้อขายสูงสุดในตลาดหุ้นลาวจากที่มีทั้งหมด 11 บริษัท ก็คือ บมจ.ผลิต-ไฟฟ้าลาว (EDL-Gen) และ ธนาคารการค้าต่างประเทศลาว (BCEL)
ปัจจุบันก็มีบริษัทรัฐวิสาหกิจของ สปป.ลาวหลายแห่งที่ต้องการเข้าระดมทุนเพื่อนำเงินไปพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ แต่เบื้องต้นมีรัฐวิสาหกิจราว 7 แห่งที่มีความพร้อมเพียงพอที่จะเดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ ได้แก่ สกายเวย์ ซึ่งเป็นกิจการให้บริการด้านการบิน, L jet ให้บริการด้านสนามบินที่เป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลลาว และเอกชนญี่ปุ่น, บริษัทผลิตยาของรัฐ และ บริษัทที่ให้บริการติดตั้งไฟฟ้าให้กับประชาชน เป็นต้น
ในด้านผู้ลงทุนในตลาดหุ้นลาว ขณะนี้มีบัญชีนักลงทุนทั้งหมด 1.6 หมื่นบัญชี แบ่งเป็นบัญชีจากนักลงทุนต่างชาติราว 20% โดยมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นมากกว่า 50% มาจากนักลงทุนต่างชาติ