นายชัยวัฒน์ โกวิทจินดาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป (BLESS) เชื่อมั่นในหุ้น BLESS ที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 เป็นวันแรก เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานมีความแข็งแกร่ง แม้ช่วงที่ผ่านมาจะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทฯยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นไว้ได้ในระดับสูง เฉลี่ยประมาณ 30% โดยในปี 2563-2564 อยู่ที่ 30.71% และ 30.40% ตามลำดับ
"กำไรขั้นต้นที่อยู่ในระดับสูงกว่า 30% สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะต้นทุนในการก่อสร้าง ที่ถือเป็นอีกจุดเด่นที่สำคัญของ BLESS เนื่องจากโครงการอสังหาฯของบริษัทฯ ก่อสร้างด้วยระบบ Wall Form ที่มีความแข็งแรงและรวดเร็ว"
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่าภาพรวมตลาดอสังหาฯ น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยบวกจากนโยบายภาครัฐในการกระตุ้นกำลังซื้ออสังหาฯ ผ่านมาตรการลดค่าโอนและค่าจดจำนอง รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปลดล็อกมาตรการ LTV ถึงสิ้นปี 2565 จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อบ้าน อีกทั้งปัจจุบันมียอดขายรอโอนกว่า 400 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
สำหรับการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งนี้ ได้ช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยบริษัทฯมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ ซึ่งเน้นแนวราบเป็นสำคัญ รองรับดีมานด์ผู้บริโภคในตลาดระดับกลางและบน ซึ่งยังคงมีกำลังซื้อ 2-3 โครงการต่อปี ซึ่งจะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตอย่างก้าวกระโดด
นายอภิชาต แสงจันทร์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล. ทรีนีตี้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า BLESS เป็นหุ้นอสังหาฯ ที่มีความน่าสนใจ เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ผู้บริหารมีประสบการณ์ในธุรกิจมายาวนานกว่า 30 ปี ทำให้มีความรู้ความเข้าใจตลาดเป็นอย่างดี การเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตให้กับบริษัทฯ โดยบริษัทฯ วางเป้าหมายรักษาการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องในแต่ละปี และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในระดับเฉลี่ยประมาณ 30% ต่อปี ขณะที่กำไรสุทธิในช่วงที่ผ่านมาไม่น้อยกว่า 10%
"มั่นใจว่า BLESS จะเป็นหนึ่งในหุ้นอสังหาฯที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน เนื่องจากอยู่ในวัฏจักรของการเติบโต เรียกได้ว่าเป็นหุ้น High Growth-High Margin จากแผนการขยายตลาดแนวราบ ในกลุ่มลูกค้าตลาดกลางและบน ที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง ทำให้เห็นโอกาสการเติบโตในอนาคต" นายอภิชาต กล่าว