นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวในงานสัมมนาออนไลน์หัวข้อ"ปรับพอร์ต รับวิกฤตหุ้นครึ่งปีหลัง"ว่า จากปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้นและภาพรวมการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงทั่วไลก ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน โดยที่ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงมา 7.2% แต่ยังถือว่ายังอยู่ในระดับที่ดีกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวลดลงๆไปแล้วกว่า 10% และตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ปรับตัวลดลงไปกว่า 20-30%
โดยที่บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ได้มีการปรับลดประมาณดัชนี SET ในสิ้นปี 65 ลดลงมาที่ 1,683 จุด จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 1,800 จุด หลังจากประเมินว่าตลาดหุ้นไทยยังคงความเสี่ยงและแรงกดดันจากปัจจัยภายในและภายนอกค่อนข้างมาก โดยที่แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงเป็นแรงกดดันหลัก ส่งผลให้ธนาคารกลางต่างๆทั่วโลกต้องเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ท่ามกลางสภาวะที่ซัพพลายของสินค้าและบริการต่างๆที่กลับมาฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และสงครามรัสเซียและยูเครนที่ยังยืดเยื้อมา ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ยังคงเห็นเงินเฟ้อในระดับที่สูงมาต่อเนื่อง
การเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นผลกระทบที่เข้ามาต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเริ่มมากจากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ทำให้กระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่จะชะลอตัวตามกัน ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลในปัจจัยดังกล่าว และมีการขายทำกำไรออกมา เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะตามมาด้วยการชะลอตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ และกำลังซื้อที่ชะลอลง
ขณะเดียวกันสภาพคล่องในตลาดที่ลดลงจากการค่อยลดสภาพคล่องของธนาคารกลางสหรัฐฯและยุโรป ทำให้การซื้อขายหุ้นเริ่มเห็นเม็ดเงินในการซื้อขายน้อยลง ทำให้การปรับตัวขึ้นของดัชนีค่อนข้างเป็นไปอย่างจำกัด และทำให้ทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกในภาพรวมเริ่มแกว่งตัวซึมลง รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน ยกเว้นตลาดหุ้นจีน ที่หลังจากผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ และเริ่มกลับมาเปิดเมือง จะเห็นเม็ดเงินไหลเข้าไปในตลาดหุ้นจีนมากขึ้น ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกในปีนี้
ส่วนปัจจัยในประเทศยังคงเป็นการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมาก ทำให้มีแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติที่เคยเข้ามาเมื่อปลายปี 64 ถึงเดือนพ.ค. 65 หวนกลับมาเทขายหุ้นไทยอีกครั้ง ซึ่งในเดือนมิ.ย. 65 นักลงทุนชาวต่างชาติได้ขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้วกว่า 3 หมื่นล้านบาท เพื่อล็อกกำไรไว้ หลังจากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปค่อนข้างมาก ทำให้จะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาต่อเนื่อง และทำให้ดัชนี SET แกว่งตัวลงไปราว 100 จุดแล้ว และยังต้องรอการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเดือนส.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่ม 0.25% ต่อปี มาที่ 0.75% ต่อปี ซึ่งอาจจะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาได้บ้างเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นไทยในกลุ่มที่เกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยว หลังจากมีการเปิดประเทศ และผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศมามากแล้ว ทำให้จะเห็นภาพการท่องเที่ยวในปีนี้ฟื้นตัวกลับมาได้อย่างดี ซึ่งสามารถเข้ามาทดแทนกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกที่ชะลอลงตามเศรษฐกิจโลกได้ โดยหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวที่เป็นหุ้นแนะนำ ได้แก่ AOT, AAV, BA, ERW, CENTEL, MINT, SHR, CPN และ CRC
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งได้รับประโยชน์จากการเดินทางเข้าประเทศได้ ทำให้ลูกค้าชาวต่างชาติเดินทางกลับเข้ามารักษาในโรงพยาบาลชั้นนำมากขึ้น โดยมีหุ้นแนะนำในกลุ่มโรงพยาบาล ได้แก่ BDMS และ BCH ขณะที่ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น โดยเฉพาะรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ทั้งการเปิดเมือง และราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งมีหุ้นในกลุ่มดังกล่าวที่แนะนำ ได้แก่ BEM และ BTS
ขณะที่ทิศทางของการที่จีนมีโอกาสกลับมาให้ประชาชนชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศได้ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนต่อการกลับมาของกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่ชอบเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัย และเข้ามาลงทุนในประเทศได้มากขึ้นในระยะต่อไป ซึ่งจะเข้ามาเสริมจากกลุ่มลูกค้าในประเทศ และกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่น และยุโรป โดยมีหุ้นแนะนำในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ AP, NOBLE, ORI และ SC ส่วนหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่แนะนำ ได้แก่ AMATA, WHA และ ROJNA
ด้านนายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าว ว่า แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในไตรมาส 3/2565 ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อสูงจะยังคงเป็นภัยคุมคามการลงทุนอยู่ ซึ่งจะหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อจนกว่าจะเห็นปัญหา ซัพพลายเชน ดีสรัปชั่น(Supply Chain Disruption) และสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศคลี่คลาย
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยบล.ดีบีเอส ได้มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจหรือจีดีพี ในปี 2565 ใหม่ โดยปรับลดแนวโน้มจีดีพี ประเทศสหรัฐอเมริกาลงเหลือ 2.5% จากเดิม 3% จีดีพีประเทศในยุโรปเหลือ 1.4% จาก 3% จีดีพีจีน เหลือ 4.8% จาก 5.3% ญี่ปุ่นเหลือ 1.6% จาก 2.2% ส่วนประเทศไทยคงคาดการณ์จีดีพีเติบโตเท่าเดิมที่ 3.5%
"การปรับลดจีดีพีเป็นผลมาจากเราเห็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจจะถดถอยกำลังแรงขึ้น สะท้อนจากส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐรุ่น 10 ปี และ 2 ปี เริ่มกลับมาใกล้ติดลบ ซึ่งบลูมเบิร์ก ได้ทำโมเดลคาดการณ์ชี้ว่าโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยถึง 98% ในระยะ 24 เดือนข้างหน้า แนวโน้มเศรษฐกิจและแนวโน้มการบริโภคทั่วโลก ถูกฉุดด้วยนโยบายเข้มงวดทั้งการเงิน - การคลัง รวมทั้งยังต้องจับตาจีนว่าจะผ่อนคลายนโยบายโควิดในเร็วๆนี้หรือไม่" นายธนวัฒน์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มการลงทุน ในไตรมาส 3/2565 ฝ่ายวิจัย บล.ดีบีเอส ยังคงแนะนำเพิ่มน้ำหนักในหุ้นจีนและญี่ปุ่น เนื่องจากมองว่าหุ้นทั้งสองประเทศนี้มีความโดดเด่นและน่าสนใจ โดย ฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นจีนตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 เพราะผู้นำจีนประกาศแนวนโยบายหนุนเศรษฐกิจอย่างชัดเจน และในไตรมาส 3/2565 แนะนำให้ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นญี่ปุ่นด้วย เนื่องจากมองว่าหุ้นญี่ปุ่นมักจะ outperform เมื่อค่าเงินเยนอ่อน
"เรายังคงแนะนักลงทุนจัดพอร์ต โดยเน้นหุ้นคุณภาพ มีการกระจายรายได้ที่ดีทั้งด้านผลิตภัณฑ์และภูมิภาค ซึ่งเรายังชื่นชอบหุ้นจีน เพราะคาดผลตอบแทนคุ้มค่าความเสี่ยง รวมทั้งหุ้นญี่ปุ่น ส่วนหุ้นยุโรปเราแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุน"นายธนวัฒน์ กล่าว
ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ แนะนำกลุ่มที่มีเรทติ้งระดับ A/BBB และมีอายุตราสารไม่ยาวนักอยู่ที่ประมาณ 3-5 ปี โดยให้ลดน้ำหนักหุ้นกู้ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เพราะมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงหรือความเสี่ยงในการลงทุนช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ จะมาจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล การเมืองระหว่างประเทศ เทคโนโลยี สภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม การลงทุนในอุตสาหกรรมเฉพาะมีความเสี่ยงสูงกว่าตลาดโดยรวม
ส่วนนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า จากปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้การเลือกหลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากธีมการลงทุนไตรมาส 3/2565 ในช่วงที่น้ำมันดิบผันผวนด้านอุปทาน จากการแซงชั่นรัสเซีย กรณีสงครามรัสเซีย ? ยูเครน ทำให้น้ำมันขึ้นราคา ซึ่งจะส่งผลดีกับอุตสาหกรรมต้นน้ำเช่น PTTEP ,PTT หุ้นโรงกลั่น เช่น BCP,TOP,ESSO,SPRC และหากน้ำมันลดราคาลง ตามเศรษฐกิจโลกชะลอจะเป็นผลดีกับอุตสาหกรรมที่นำน้ำมันหรือก๊าซไปใช้เป็นเชื้อเพลิง หรือที่เรียกว่า Anti Commodity เช่นหุ้น SCC, BGRIM, GPSC, SCGP, CBG ,OSP, AAV, BA, EPG
ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไทยกำลังเป็นขาขึ้น หลักทรัพย์ได้ประโยชน์เป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ไม่ได้ทำธุรกิจเช่าซื้อ เช่น KBANK, BBL, TTB ส่วนหุ้นที่ได้รับผลกระทบทางลบจะเกี่ยวกับการทำไฟแนนซ์ ธุรกิจเช่าซื้อ เช่น KKP, TISCO, SAWAD, MTC
อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังโดดเด่นด้านการฟื้นตัวจากการเปิดเมือง โดยเฉพาะการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน หากการท่องเที่ยวไทยฟื้น จะสามารถทดแทนการส่งออกที่ชะลอลงตามเศรษฐกิจโลก ส่วนหุ้นได้รับผลดีจาการเปิดเมือง เช่น หุ้นสนามบิน AOT หุ้นสายการบิน AAV, BA หุ้นโรงแรม ERW , CENTEL, MINT, SHR หุ้นศูนย์การค้า CPN, CRC หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ที่เน้นลูกค้าต่างประเทศ ได้แก่ BH, BDMS, BCH
หลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากจีนซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ ด้านการลงทุนกลุ่มที่ดิน มีกิจกรรมการขาย &โอน เช่น กลุ่มการลงทุน มี AMATA, WHA, ROJNA กลุ่มอสังหาฯ มี AP, NOBLE, ORI, SC
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า ผลกระทบจากเงินบาทที่อ่อนค่าสุดในรอบ 5 ปี ขณะที่อัตราดอกเบี้ยในประเทศยังไม่ปรับขึ้น ไม่จูงใจนักลงทุนต่างประเทศ ให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ค่าเงินบาท จึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการไหลออกของ Fund Flow ขณะเดียวกันการที่ค่าเงินบาทอ่อนจะส่งผลดีต่อการส่งออก ส่วนการนำเข้ามีต้นทุนสูงขึ้น โดยเฉพาะการนำเข้าที่ส่งผลกระทบวงกว้าง เช่น น้ำมัน เครื่องจักร อย่างไรก็ตามหลักทรัพย์กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ จะได้รับผลกระทบ ด้านอุปสงค์ลด และมีปัญหา Supply Chain Disruption แต่การส่งออกอาหาร ได้ประโยชน์ จากราคาสินค้าส่งออกสูงขึ้น และกลุ่มอาหาร ได้ประโยชน์จากภาวะสงคราม เช่น ASIAN, CFRESH, GFPT, TU
"หากรัฐบาลกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้า โครงการขนาดใหญ่ กลุ่มหลักทรัพย์ผู้รับเหมาก่อสร้าง จะได้ประโยชน์ หุ้นเด่นคือ CK กระตุ้นเศรษฐกิจโครงการ EEC กลุ่มนิคมก็จะได้ประโยชน์ ส่วนกรณีที่ภาครัฐแทรกแซงภาคเอกชน เพื่อบรรเทาภาระภาคประชาชน ช่วยพยุงราคาดีเซล ในกองทุนน้ำมันติดลบถึงระดับแสนล้าน โดยขอความร่วมมือโรงกลั่นน้ำมันแบ่งกำไรส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ราคาหุ้น TOP, ESSO, BCP, SPRC และ โรงแยกก๊าซ PTT จึงมีความผันผวนสูง ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาราคาหุ้นลงมารับข่าวส่วนหนึ่งไปแล้วก็ตาม" นายสมบัติกล่าว
นายสมนึก จันทร์รัสมี ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า ภาพดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในระยะกลาง มีความชัดเจนในโครงสร้างขาลง ที่ไม่น่าจะเปลี่ยนทิศทางในช่วงเวลาอันใกล้นี้ได้ ดังนั้นจึงมีทิศทางการปรับตัวลงเป็นหลัก และหากจะมีการปรับขึ้นจะเป็นแค่การรีบาวน์ทางเทคนิคสั้นๆ แล้วลงต่อ
ส่วนภาพระยะสั้นดัชนีตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาอ่อนตัวลงแรงกว่า 100 จุด แม้จะทำให้ดูเหมือนจูงใจให้เกิดแรงซื้อที่จะดึงให้ตลาดมีโอกาสเปลี่ยนทิศทางกลับเป็นขาขึ้นได้ โดยอาศัยสัญญาณ Oversold หนุน แต่เมื่อประเมินจากภาพรวมแล้ว ตลาดน่าจะมีทิศทางปรับตัวลงก่อนแล้วจึงจะเปลี่ยนทิศทางตามมาได้ โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 1500 ,1450 หรือ 1400 จุด
สำหรับกลยุทธ์การเก็งกำไร กรณีดัชนีสูงกว่า 1600 จุด ให้เน้นซื้อค่าบวก เพื่อลุ้นหรือรอขายที่แนวต้านระดับ 1620-1650 จุด แต่หากดัชนีต่ำกว่า 1600 จุด เน้นซื้ออ่อนตัว ที่ 1500,1450 หรือ 1400 จุด เพื่อลุ้นและรอขายเมื่อมีการปรับขึ้น
นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า ไตรมาส 3/2565 หุ้นในกลุ่ม SET50 ในทางเทคนิค หากการขึ้นยังไม่สามารถยืนเหนือ 967-975 หรือ 995 ไม่ได้ ให้ระวังกลับมา 930 และการหลุดต่ำกว่า จะปรับตัวลงต่อเนื่องในไตรมาส3/2565 นี้ และสอดคล้องกับไตรมาสก่อนที่ประเมินว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการลงในระยะกลาง
เชิงปัจจัยประเด็นหลักหากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ไม่ลงจะเป็นความเสี่ยงให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยแรงอีก แต่มีข้อดีคือ ตอนนี้ตลาดพันธบัตรเริ่มรับรู้ว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยไปที่ 3.4-3.8% ในช่วง 2 ปีนี้แล้ว แต่ความเสี่ยงหลักไม่ใช่เศรษฐกิจสหรัฐฯแต่เป็นเศรษฐกิจยุโรปและตลาดเกิดใหม่ซึ่งได้รับผลกระทบจากเงินทุนไหลออกและเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวจากโควิด ราคาน้ำมันที่สูงค่าเงินที่อ่อน จะยิ่งทำให้เงินเฟ้อสูง เสี่ยงวิกฤต ซึ่งตลาดยังไม่ค่อยพูดถึงและรับรู้นัก
ส่วนราคาทองคำ ยังแกว่งตัวในกรอบ คาดว่าเป็นการแกว่งตัวในกรอบ กรอบบน 1850/1880 กรอบล่าง 1780/1750 ทองคำยังคงถูกกดดันจากเรื่องเฟดขึ้นดอกเบี้ยเร็ว แม้ว่าอาจจะมีแรงซื้อเข้ามาเป็นระยะๆ หากมีความเสี่ยงเรื่องสงคราม และเศรษฐกิจเข้ามาเป็นระยะๆ ขณะที่ค่าเงินบาท การขึ้นทดสอบ 35.8-36/36.5 จะยังไม่ผ่านในครั้งแรกที่ทดสอบ ระวังการพักฐานกลับมาแข็งค่าที่มีนัยสำคัญ หลังจบการประชุมเฟด 26-27 ก.ค. นี้