นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ปัจจัยที่เข้ามากดดันตลาดทุนในปัจจุบัน คือ ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ต่อมาคือ ความขัดแย้งทางการเมืองที่ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ราคาน้ำมันและอาหารสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนอย่างมาก และสุดท้ายธนาคารกลางทั่วโลกต่างลดการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบ ซึ่งทำให้สภาพคล่องโลกจะลดลง ซึ่งหากมองปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่ามีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างน้อย
ขณะที่ทิศทางเงินทุนต่างชาติไหลออกจากประเทศไทยน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค โดยมองว่าผลกระทบที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยน้อย ในขณะเดียวกันสภาพคล่องในประเทศที่มีอยู่ค่อนข้างมาก และบริษัทจดทะเบียนไทยยังมีความสามารถในการทำกำไรได้ค่อนข้างดี โดยตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบันเงินทุนต่างชาติยังเป็นบวกอยู่กว่า 109,067 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มองว่าทุกครั้งที่เกิดวิกฤตมักมีโอกาสในช่วงที่ราคาสินทรัพย์ปรับตัวเสมอ ซึ่งในส่วนของการลงทุนต้องมองถึงความสามารถในการลงทุนของตนเองด้วยว่ามีอะไรบ้างและการบริหารความเสี่ยงของเป็นอย่างไร โดยแบ่งออกเป็น 3 เรื่องหลักๆ ได้แก่ 1.ข้อมูล ซึ่งหากการเปลี่ยนแปลงอาจต้องมีการปรับพอร์ตการลงทุนของให้เหมาะสม อาทิเช่น การขายจากสินทรัพย์หนึ่งไปลงทุนอีกสินทรัพย์หนึ่งแทน เป็นต้น 2.การจัดพอร์ตลงทุนต้องมีความชัดเจนว่าจะลงทุนในระยะยาวหรือสั้น รวมถึงสามารถรับความเสี่ยงได้แค่ไหน และ 3.ในแต่ละสินทรัพย์จะเลือกลงทุนอย่างไร ซึ่งควรเลือกตามที่เหมาะสมผลตอบแทนแบบไหน และบริหารความเสี่ยงได้ขนาดไหน
"การลงทุนจะเป็นการปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงิน หรือ ศึกษาด้วยตนเองก็ได้ แต่อย่าลืมติดตามข่าวสารต่างๆมีผลกระทบอย่างไรบ้างต่อการลงทุนของท่าน เพราะหากมีผลกระทบอะไรที่รุนแรงหรือเปลี่ยนแปลงมากๆก็อย่าลืมปรับพอร์ต"นายภากร กล่าว
สำหรับผลกระทบต่อแผนการเข้าระดมทุนของบริษัทใหม่ๆในตลาดหลักทรัพย์นั้นมองว่ามีผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยคาดว่าทั้งจำนวนและมูลค่าการระดมทุนในปีนี้จะไม่แตกต่างจากปี 64 ที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจุบันมีบริษัททั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กที่อยู่ในแผนจำนวนมาก