นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคระห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ ปรับตัวขึ้น ตามทิศทางตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ หลังราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ติดต่อกัน 2 วัน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็ปรับตัวลดลง 20% จากจุดสูงสุดในเดือนที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นน่าจะยังไปไหนได้ไม่ไกลเนื่องจากภาพใหญ่นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจถดถอย อีกทั้งหุ้นกลุ่มพลังงานยังคงเผชิญแรงขายต่อเนื่องซึ่งยังเป็นตัวฉุดดัชนี แต่ขณะเดียวกันก็จะได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวลงด้วย เช่น โรงไฟฟ้า ค้าปลีก เป็นต้น
ทั้งนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้มีการเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 14-15 มิ.ย. เมื่อคืนนี้ โดยระบุว่า กรรมการเฟดยังคงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการควบคุมเงินเฟ้อ แม้ว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยก็ตาม โดยกรรมการเฟดเชื่อว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% หรือ 0.75% ในการประชุมเดือนก.ค.ถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม และมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในระดับที่รุนแรงมากขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ ไว้อยู่แล้ว จึงไม่ได้ส่งผลลบต่อตลาดในวันนี้
ให้แนวรับ 1,530 จุด และแนวต้าน 1,550-1,560 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (6 ก.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,037.68 จุด เพิ่มขึ้น 69.86 จุด หรือ +0.23%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,845.08 จุด เพิ่มขึ้น 13.69 จุด หรือ +0.36% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,361.85 จุด เพิ่มขึ้น 39.61 จุด หรือ +0.35%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 26,280.94 จุด เพิ่มขึ้น 173.29 จุด หรือ +0.66% ,ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,352.70 จุด ร่วงลง 233.96 จุด หรือ -1.08% และ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,353.13 จุด ลดลง 2.22 จุด หรือ -0.07%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (6 ก.ค.) ที่ระดับ 1,541.79 จุด เพิ่มขึ้น 0.49 จุด, +0.03%
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,516.53 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 ก .ค.65
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค. (6 ก.ค.)ลดลง 97 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 98.53 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย.
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 ก.ค.) อยู่ที่ 11.56 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 36.25 อ่อนค่าต่อเนื่องจากวานนี้ ให้กรอบวันนี้ 36.15-36.40
- "คลัง" เร่งหารือ "พลังงาน" ดูแลผลกระทบ "น้ำมัน-ก๊าซ" เฉพาะกลุ่ม "อาคม" ชี้เงินเฟ้อนิวไฮ 13 ปี ไม่ถือว่าสูง เมื่อเทียบประเทศเพื่อนบ้าน "กรมธุรกิจพลังงาน" เร่งสรุปข้อมูลของบกลางอุ้ม "น้ำมัน-ก๊าซ-ค่าไฟ" เล็งปรับแผน "วินเซฟ" เป็นช่วยผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ทั่วประเทศ กพช.อนุมัติ ปตท.นำเข้าแอลเอ็นจีเพิ่มล้านตัน รับมือวิกฤติพลังงาน
- กพช. เห็นชอบให้ ปตท.จัดหา LNG สัญญาระยะยาว 1 ล้านตันต่อปี จากสัญญาระยะยาวเดิมที่ลงนามแล้ว 5.2 ล้านตันต่อปี เริ่มส่งมอบ ม.ค.ปี 69 ระยะ 15-20 ปี เพิ่มความมั่นคงทางพลังงานของประเทศจากปัจจัยเสี่ยงวิกฤตพลังงานที่ผันผวนจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ความไม่สงบในเมียนมา และก๊าซอ่าวไทยเริ่มมีจำกัด มั่นใจการนำเข้าช่วยลดต้นทุนก๊าซฯ ภาพรวม ขณะที่การเจรจาโรงกลั่นยังรอความชัดเจนกฎหมาย
- "ททท." เตรียมชง "ศบศ." ยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่านักท่องเที่ยว - ค่าวีซ่าหน้าด่าน(VoA) พร้อมขยายเวลาพำนักสูงสุด 45 วัน ถึง 31 ธ.ค.65 หวังดึงทัวริสต์จับจ่ายในไทย 5-7 พันล้าน ด้าน "สมาคมโรงแรมไทย" เผยหลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประเมินอัตรา การเข้าพักช่วงไตรมาส 4/65 มากกว่า 50% โดยเฉพาะโรงแรมใหญ่ ชี้ปัจจัย "เงินเฟ้อ" ทั่วโลกกดดันการฟื้นตัว
- นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยถึงกรณีค่าเงินบาทที่อ่อนลงว่า มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย โดยมีภาวะเศรษฐกิจภายนอก อาทิ ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เงินเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น และเงินหยวนก็เริ่มแข็งขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีการไหลออกของเงินทุนบ้าง ส่วนในตลาดตราสารหนี้ไทยก็มีผลกระทบเล็กน้อย แต่นักลงทุนจากต่างประเทศยังคงให้เชื่อมั่นกับตราสารที่ออกโดยประเทศไทยอยู่ ขณะที่ตลาดทุนก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามตลาดทั่วโลก โดยเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด
- สมาคมผู้ค้าปลีกไทยชี้ดัชนีค้าปลีกเดือน มิ.ย. แผ่วลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม จากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ผู้บริโภคชะลอการจับจ่าย ส.อ.ท.เผยราคาพลังงานดันต้นทุนการผลิตเพิ่ม 20% จนต้องหั่นกำไรรักษายอดขาย
- BLESS (ทรีนีตี้) เข้าเทรดวันแรกวันนี้ ราคา IPO 1.40 บาท โดยประเมิน Fair value สิ้นปี 2566 ที่ 1.53-1.62 บาท อ้างอิงวิธี P/E 8.5-9.0 เท่า ซึ่งเป็นระดับ Forward PE เฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกับ BLESS
- CPALL (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 64.00 บาท ได้ประโยชน์จากราคาสินค้าหลายประเภทที่จำหน่ายใน 7-11 กำลังทยอยปรับเพิ่มขึ้น ประเด็นนี้เรามอง CPALL ได้ประโยชน์จากส่วนแบ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยเราประเมินผลของการปรับราคาขายสินค้าจะเห็นชัดเจนขึ้นนับตั้งแต่ 2H22 เป็นต้นไป SSSG ของสาขาดีขึ้นต่อเนื่อง รับการบริโภคที่ดีขึ้นของทั้งลูกค้าไทยและต่างชาติ (นักท่องเที่ยว) หลังการเปิดเมือง ตลาดประเมินกำไร 2Q22 ของ CPALL เฉลี่ยที่ 3.85 พัน ลบ. +76%YoY, +11%QoQ Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2022-2023 ที่ 1.65 หมื่น ลบ. และ 2.18 หมื่น ลบ. +27%YoY, +32%YoY ตามลำดับ
- MEGA (ติงส์ฟอร์ด) "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 59.25 บาท แนวโน้มการดำเนินงานในปีนี้ยังคงสดใส Covid-19 ส่งผลให้ ผู้บริโภคเกิด awareness มีความต้องการอาหารเสริม และ ผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพสูงขึ้น ขณะที่สินค้ายายังเป็นสินค้าจำเป็น และ MEGA เองก็ได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่า โดยทางบ.ตั้งเป้ารายได้ปีนี้จะเติบโตราว +5 ถึง +10%YoY วางงบลงทุนในช่วงปี 65-66 ที่ 537 ลบ.(โรงงานที่ไทย 326 ลบ./โรงงานที่อินโดนีเซีย 165 ลบ.) สำหรับการขยายโรงงานและเสริมกำลังการผลิตเพื่อรองรับในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้งนี้ตลาดคาด EPS ปี65 และ ปี66 ของ MEGA จะยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากปี 64 ที่ 2.23 บาท/หุ้น มาอยู่ที่ 2.57 บาท/หุ้น, และ 2.82 บาท/หุ้น ตามลำดับ