นายเอกกมล ประสพผลสุจริต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บมจ.เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น (ASIAN) เปิดเผยว่า บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (AAI) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในไตรมาส 4/65 ภายหลังการยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) แล้ว โดยจะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปใช้รองรับการขยายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน (ธุรกิจทูน่า) ที่มีการเติบโตต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ AAI กล่าวว่า ภาพรวมตลาดของทั้ง 2 ธุรกิจหลักถือว่ามีการเติบโตสูง โดยธุรกิจทูน่าคาดมีการเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 2.6% ต่อปีในช่วงปี 65-72 เนื่องจากเป็นอาหารสุขภาพมีโอเมก้าและไขมันน้อย สามารถจัดเก็บได้ในอุณหภูมิปกติ รวมถึงยังได้แรงหนุนจากการเติบโตของช่องทาง E-commerce อีกทั้งประเทศไทยยังเป็นผู้ผลิตหลักอันดับ 1 ซึ่งถือว่ามีศักยภาพค่อนข้างมาก โดยมีตลาดหลักในการส่งออกคือ สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และ ตะวันออกกลาง เป็นต้น
ส่วนธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงก็มีการเติบโตต่อเนื่องทุกปี เห็นได้จากปี 61-64 เติบโตเฉลี่ย 8.6% ต่อปี และในปี 64-72 คาดมีการเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 5% ต่อปี เป็นไปตามเทรนด์ของการเลี้ยงสัตว์ โดยตลาดผู้ส่งออกหลักๆ จะเป็นประเทศเยอรมัน สหรัฐ และไทย อย่างไรก็ตาม คาดว่าภายใน 1-2 ปีข้างหน้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยจะก้าวขึ้นมาอยู่ใน 2 อันดับแรกได้ ขณะที่ตลาดส่งออกหลักยังเป็นสหรัฐ ญี่ปุ่น และมาเลเซีย
ด้านตลาดภายในประเทศ มูลค่าของตลาดสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงจะอยู่ราว 40,000 ล้านบาท ซึ่งราว 40-50% จะเป็นในส่วนของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง หรือคิดเป็นประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยเทรนด์ก็จะคล้ายกับต่างประเทศ และมีการเติบโตต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
AAI เป็นหนึ่งในผู้รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก (Wet Pet Food) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ชั้นนำของประเทศ โดยมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมานานกว่า 15 ปี ทำให้สามารถผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัย จนเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์และผู้บริโภคในระดับสากล
นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญต่อการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน โดยบริษัทฯ มีแผนกลยุทธ์การพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับจากการเป็นผู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Co-developer) สู่การเป็นคู่ค้าเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partners) เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของบริษัทฯ ในระยะยาว
ปัจจุบัน AAI แบ่งผลิตภัณฑ์เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) สำหรับสุนัขและแมว ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกและผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้าที่เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับสากล และภายใต้เครื่องหมายการค้าของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งประกอบด้วย แบรนด์มองชู (monchou) และแบรนด์มาเรีย (Maria) เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดสินค้าพรีเมียม แบรนด์มองชู บาลานซ์ (monchou balanced) และแบรนด์ฮาจิโกะ (Hajiko) เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดมวลชน และ แบรนด์โปร (Pro) เจาะกลุ่มลูกค้าโดยเน้นการแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก
2. ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าในน้ำปรุงรสและซอสปรุงรส รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารปรุงสุกพร้อมทาน (Ready-to-eat) ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้าทั้งหมด นอกจากนี้ ยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ (By-product) จากการแปรรูปปลาทูน่า เช่น ผลิตภัณฑ์ปลาป่น ผลิตภัณฑ์น้ำนึ่งปลา และผลิตภัณฑ์น้ำมันปลา เป็นต้น
บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านวัตถุดิบและสูตรการผลิตจนเป็นที่ยอมรับของลูกค้า ส่งผลให้ได้รับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งได้ขยายกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น โดยได้เพิ่มกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกจาก 25,000 ตันต่อปีในปี 60 เป็น 42,000 ตันต่อปี ในปัจจุบัน
พร้อมกันนี้ AAI ยังมีเป้าหมายพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของตนเอง ซึ่งจะหนุนให้สัดส่วนแบรนด์ของตนเองเติบโตแตะ 10% จากปัจจุบัน 3% ด้วยศักยภาพในฐานะผู้ผลิตอาหารและอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกรายใหญ่ของประเทศไทย ให้ผลิตภัณฑ์ของตนเองดังกล่าวเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในวงกว้าง โดยได้เริ่มต้นจากการเข้าไปทำการตลาดทั้งในประเทศไทยและประเทศจีน เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาแบรนด์สู่ระดับสากล
นางสาววรัญรัชต์ อัสสานุพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน AAI กล่าวว่า บริษัทมีกลยุทธ์ขยายตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเข้าสู่กลุ่มผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นเพื่อเสริมสร้างความสามารถการแข่งขันในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและรักษาอัตรากำไรในระยะยาว โดยได้พัฒนาแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงของตนเองขึ้นหลากหลายแบรนด์ เพื่อให้มีผลิตภัณฑ์ครบทุกประเภทและครอบคลุมความต้องการของกลุ่มลูกค้าในทุกตลาดย่อย (Market Segment) ทั้งอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด และขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง
บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจาก 3,588 ล้านบาทในปี 62 เป็น 4,985 ล้านบาทในปี 64 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 18% ต่อปี ซึ่งรายได้จากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามความสำเร็จในการปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยม และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 168 ล้านบาทในปี 62 เป็น 639 ล้านบาทในปี 64 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 95% ต่อปี