หุ้น Top Pick ในช่วงไตรมาส 3/65 คือกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการกลับมาเปิดเมือง คือ Top Pick คือ CRC BEM CENTEL CPN หุ้นได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง CPF หุ้นได้ได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น KTB และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการ TRUE ด้านนางสาวกฤตยาภรณ์ ธาดาสีห์ หัวหน้าฝ่ายลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศ บล.เอเซีย พลัส มองว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนหนัก จาก 3 ปัจจัยคือ เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ตึงตัวของธนาคารกลางส่วนใหญ่ทั่วโลก ทำให้ดัชนี MSCI World ที่ประกอบไปด้วยหุ้นชั้นนำของ 23 ประเทศทั่วโลก ปรับลงเกือบ 9% ช่วงระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นจีนกลับสามารถรีบาวด์สวนทางกับตลาดอื่น เนื่องจากท่าทีการใช้นโยบายเข้มงวดของรัฐบาลจีนที่ใช้ควบคุมบริษัทเอกชนและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งสัญญาณคลี่คลาย อีกทั้ง มีการเร่งอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้ที่ 5.5% ได้สำเร็จ โดยในเดือนพ.ค. ที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้ประกาศคลายล็อกดาวน์ในเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ และได้ประกาศลดวันกักตัวสำหรับนักเดินทางต่างชาติส่งผลให้การเดินทางระหว่างเมืองของชาวจีนเป็นอิสระมากขึ้น ซึ่งแพลตฟอร์มท้องถิ่นของจีนที่ใช้จองตั๋วเดินทางและที่พักอย่าง Tongcheng Travel Holdings ก็ได้รับอานิสงค์นี้ด้วย ด้านนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่เผยออกมาทั้ง 33 มาตรการมีมูลค่ากว่า 5.3 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเน้นออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในฝั่งอุปทานเป็นหลัก อาทิ การลดภาษี การลดอัตราดอกเบี้ยและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยพลังงานสะอาดเป็นด้านหนึ่งที่รัฐบาลจีนตั้งเน้นผลักดันในระยะยาว ภายใต้เป้าหมายการลดคาร์บอนเป็นศูนย์ก่อนปี 2060 นอกจากนี้ รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นฝั่งอุปสงค์ เพื่อหนุนการจับจ่ายใช้สอยไปพร้อมกับการผลักดันการใช้พลังงานสะอาดด้วย โดยเน้นกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณายืดระยะเวลาการยกเว้นภาษีอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าที่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2014 ออกไป พร้อมผลักดันให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์สันดาป นายภาดร สุขสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การลงทุนและผลิตภัณฑ์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นการปรับฐานของราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกไปมากแล้วก็ตาม แต่ระยะข้างหน้าจากความไม่แน่นอนของเงินเฟ้อและราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก ดังนั้นการลงทุนในไตรมาส 3/65 ยังคงเน้นลงทุนในภูมิภาคที่เห็นมองสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งทางการเงินและทางการคลังออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น จีน เป็นต้น