SET ปิดเช้า 1,544.21 จุด ลดลง 2.59 จุด (-0.17%) มูลค่าการซื้อขายราว 30,441 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าแกว่งไซด์เวย์ตามตลาดภูมิภาค โดยไม่ได้ตอบรับเชิงลบต่อเงินเฟ้อสหรัฐที่พุ่งขึ้น 9.1% มากนัก เหตุมองแตะจุดพีคแล้ว และหากเฟดขึ้นดอกเบี้ย 1% ตามคาดจะสกัดเงินเฟ้อได้ชัดเจน แต่ Inverted Yield Curve ยังจำกัด upside ของตลาด ช่วงบ่ายให้แนวรับแรก 1,540 จุด ถัดไป 1,530 จุด ส่วนแนวต้าน 1,550 จุด
ตลาดหลักทรัพย์ ปิดช่วงเช้าที่ 1,544.21 จุด ลดลง 2.59 จุด (-0.17%) มูลค่าการซื้อขายราว 30,441 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกและลบ โดยทำระดับสูงสุด 1,550.33 จุด และระดับต่ำสุด 1,542.27 จุด
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไวด์เวย์ตามตลาดภูมิภาค โดยไม่ได้ตอบรับเชิงลบหลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งมาที่ 9.1% มากนัก เพราะมีมุมมองว่าเงินเฟ้อสหรัฐน่าจะถึงจุดพีคแล้ว และในเดือนก.ค.น่าจะเป็นเทรนด์ขาลง อีกทั้งตลาดมองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ย 1% ในการประชุมรอบนี้ (26-27 ก.ค.) หากเป็นไปตามคาดก็เป็นไปได้ที่จะทำให้เงินเฟ้อชะลอตัวชัดเจนขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภาวะ Inverted Yield Curve ยังเป็นตัวจำกัด upside ของตลาด โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) อายุ 2 ปี อยู่ที่ 3.2% สูงกว่าอายุ 5 ปี และ 10 ปี โดย Bond Yield อายุ 10 ปี อยู่ที่ 2.95% หรือติดลบราว 25 bps ถือว่าค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจีนจะขยายมาตรการล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นหลังจากล็อกบางเมืองไปแล้ว ซึ่งยังเป็นเรื่องที่ตลาดให้ความกังวลกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
แนวโน้มตลาดในช่วงบ่าย นายวีระวัฒน์ กล่าวว่า หากวันนี้ดัชนีไม่สามารถยืนเหนือแนวรับที่ 1,540 จุดได้ ก็มีโอกาสลงไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 1,530 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,550 จุดคาดว่ายังผ่านได้ยาก
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
SCB มูลค่าการซื้อขาย 2,630.73 ล้านบาท ปิดที่ 96.75 บาท ลดลง 3.25 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,724.88 ล้านบาท ปิดที่ 157.00 บาท ลดลง 3.00 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,457.57 ล้านบาท ปิดที่ 145.00 บาท ลดลง 1.50 บาท
BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,149.59 ล้านบาท ปิดที่ 128.50 บาท ลดลง 2.50 บาท
BDMS มูลค่าการซื้อขาย 940.10 ล้านบาท ปิดที่ 27.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง