นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้รีบาวด์ระยะสั้นๆ เป็นไปตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ที่เคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ และดาวโจนส์ฟิวเจอร์สปรับตัวขึ้นแรงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาสดใส ทั้งตัวเลขค้าปลีก และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 1% แต่น่าจะขึ้นเพียง 0.75%
อีกทั้งราคาน้ำมัน WTI เช้านี้ร่วงหลุด 97 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าจีนอาจจะกลับมาล็อกดาวน์เมืองสำคัญอีกครั้ง จากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นมาเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 36.55 บาท/ดอลลาร์ หลังค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าระยะสั้น จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาดี ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
แนะจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐต่อเนื่อง และการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 21 ก.ค.นี้ โดยคาดว่า ECB น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25%, การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 26-27 ก.ค.นี้ ส่วนบ้านเราสัปดาห์นี้ติดตามการรายงานผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ที่จะออกมาครบทั้งหมด และการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
ให้กรอบแนวรับที่ 1,524-1,530 จุด และแนวต้าน 1,540-1,543 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (15 ก.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,288.26 จุด พุ่งขึ้น 658.09 จุด หรือ +2.15%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,863.16 จุด พุ่งขึ้น 72.78 จุด หรือ +1.92% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,452.42 จุด พุ่งขึ้น 201.24 จุด หรือ +1.79%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 20,479.58 จุด เพิ่มขึ้น 181.86 จุด หรือ +0.9% และ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดวันนี้ที่ 3,235.09 จุด เพิ่มขึ้น 7.03 จุด หรือ +0.21% ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้ (18 ก.ค.) เนื่องในวันแห่งทะเล (Marine Day)
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (15 ก.ค.) ที่ระดับ 1,533.37 จุด ลดลง 3.45 จุด, -0.22%
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,110.45 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 ก.ค.65
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค. (15 ก.ค.)พุ่งขึ้น 1.81 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 97.59 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ยังคงร่วงลง 6.9% ในรอบสัปดาห์นี้
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (15 ก.ค.) อยู่ที่ 6.79 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 36.58 แนวโน้มผันผวน ให้กรอบเคลื่อนไหววันนี้ 36.50-36.70
- ธปท.ชี้ธนาคารพาณิชย์เสถียรภาพแกร่ง แต่เงินเฟ้อพุ่งกระทบการชำระหนี้ภาคครัวเรือน-ธุรกิจ "เคเคพี" เผยแนวโน้มหนี้เสียเพิ่มขึ้น "ทิสโก้" คาดปีนี้มีโอกาสขยับขึ้น "แบงก์กรุงเทพ" เกาะติดลูกหนี้ใกล้ชิด "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" แจงแบงก์ปรับโครงสร้าง เร่งขายหนี้เสีย "คลัง" จับมือแบงก์ชาติผ่อนเกณฑ์ซอฟท์โลนช่วยลูกหนี้โควิด
- สรท.ประเมินผลกระทบเศรษฐกิจโลกถดถอย ชี้คำสั่งซื้อไตรมาส 3 มาแล้ว หวั่นเห็นออเดอร์ชะลอไตรมาส 4 ถึงต้นปีหน้า ระบุสินค้ากลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ น่าเป็นห่วงจากปัญหาชิปไม่คลี่คลาย "พาณิชย์" เร่งหารือเอกชนรับมือส่งออกครึ่งปีหลัง ห่วงเงินเฟ้อสูงกระทบกำลังซื้อประเทศคู่ค้า
- สศช.หวั่นเศรษฐกิจ "สหรัฐ-ยุโรป" ถดถอยเร็วกว่าคาด สัญญาณขึ้นดอกเบี้ยแรง บริษัทใหญ่ทยอยลดคน เตือนไทยตั้งรับ 3 พายุเศรษฐกิจ "กอบศักดิ์" เชื่อไทยรอดวิกฤติเศรษฐกิจถดถอย หนี้ต่างประเทศต่ำ แบงก์แกร่ง แต่เสี่ยงเงินไหลออกรุนแรง "อีไอซี" คาดปีหน้าไทยเสี่ยงถอดถอยทางเทคนิค หากท่องเที่ยวสะดุด "เคเคพี" ห่วงลาม หนี้ครัวเรือนระเบิด "คลัง" ยันเศรษฐกิจไทย ไม่ถดถอย
- เงินเฟ้อสหรัฐฯพุ่งรอบ 40 ปี - จีดีพีหด สัญญาณเศรษฐกิจเบอร์ 1 โลกถดถอยชัด เอกชนผวาเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย กดบาทอ่อนแตะ 37-38 บาทต่อดอลล์ จี้ ธปท.ดูแลไม่ให้ขึ้น-ลงเร็ว ส่งออกเป่าปากวางแผนธุรกิจยาก ชี้ไตรมาส 3-4 ตัวเลขชะลอแน่ เร่งหาตลาดใหม่-หันค้าสกุลเงินอื่น จับตา กนง.ประชุมฉุกเฉินขึ้นดอกเบี้ย 0.25%
- ภาคธุรกิจครวญขาดแรงงานหนักมาก หลังเมกะโปรเจ็กต์อีอีซี-ภาคท่องเที่ยวกลับมาเปิดดำเนินการ นำเข้าแรงงานต่างด้าวยังล่าช้า เพิ่งมาได้ 2 หมื่นคน จากต้องการ 2.77 ล้านคน ตั้งเป้านำเข้าตาม MOU ปีนี้ 1 แสนราย หอฯอีสานขอขยายนำเข้าเร่งด่วนแรงงานเพื่อนบ้านตามมาตรา 64 เป็นการชั่วคราว
*หุ้นเด่นวันนี้
- COM7(เคทีบีเอสที) แนะนำ "ทยอยซื้อ" เป้าเชิงกลยุทธ 31.00 บาท หลัง P/E เริ่มเทียบเท่ากับปี 62 (Pre-Covid) ที่ 24X ด้าน Net Profit Growth ก็เท่ากันด้วย (20-23%YoY) ประเมิน Downside เริ่มจำกัดและกำลังจะเข้าสู่ High Season สินค้าแบรนด์ Apple การเปิดเมืองหนุน SSSG ประเมินกำไรสุทธิปี 65-66 ที่ 3.27 พัน ลบ. และ 4 พัน ลบ.
- SABINA (คิงส์ฟอร์ด) แนะนำ"ซื้อ" ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 28.25 บาท แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/65 เติบโต QoQ, YoY หนุนจากรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น เนื่องจากความกังวล COVID-19 คลี่คลาย และสินค้า Collection ใหม่ได้รับการตอบรับดีช่วยผลักดันยอดขายค้าปลีก (Retail) รวมถึงออนไลน์ (NSR-Non Store Retailing) ขณะที่รายได้ OEM โตตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจในอังกฤษและยุโรป ทำให้ออเดอร์ไหลเข้าต่อเนื่อง ตั้งเป้าเติบโตในปีนี้ 20% รายได้ยอดขายจะกลับไปเท่าก่อน COVID ปี 62 ที่ 3.3 พันล้านบาท
- SCGP (พาย) แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 66.00 บาท คาดธุรกิจปกติของบริษัทจะเติบโตแข็งแกร่งในช่วง H2/65 จากการขยายกำลังการผลิตและอุปสงค์ที่ฟื้นตัวขึ้นพร้อมประเมินว่าราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายจะโตต่อเนื่องตามต้นทุนที่สูงขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อ บวกกับการบริโภคในประเทศและตลาดส่งออกที่ปรับดีขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลาย