เดอะคลีนิกค์ฯ ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 60 ล้านหุ้น-เข้า mai ใช้ขยายกิจการ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 18, 2022 15:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.เดอะคลีนิกค์ คลีนิคเวชกรรม (CLINIC) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 60,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท/หุ้น คิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นที่ออกแล้วเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บล.เคทีบีเอสที เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น IPO

บริษัทมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งนี้ไปใช้ในการลงทุนขยายกิจการ , พัฒนาระบบไอทีและระบบข้อมูลลูกค้า และเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัท

CLINIC ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านผิวหนัง ความงาม ศัลยกรรมตกแต่งและการดูแลป้องกันฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวมที่ทันสมัยตามหลักการแพทย์ ได้แก่ การให้บริการด้านการรักษาโรคผิวหนัง ผิวพรรณความงาม ลดน้ำหนัก ดูแลรูปร่าง ศัลยกรรม Wellness และฟื้นฟูสุขภาพ โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่งผ่านการรับรองจากสถาบันที่มีชื่อเสียงทั้งจากประเทศไทย ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอังกฤษ และมีประสบการณ์ให้บริการตรวจรักษาโรคด้านผิวหนังและศัลยกรรมด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ทันสมัย ภายใต้แบรนด์ "เดอะคลีนิกค์"

การให้บริการภายใต้คลินิกเวชกรรมและศูนย์ศัลยกรรมของบริษัทมีดังนี้

1.แผนกผิวหนังและความงาม (Skin and Aesthetic Department) คือ การให้บริการโดยใช้เครื่องมือเลเซอร์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด และมีความปลอดภัยสูง ได้แก่ การรักษาโรคผิวหนังทั่วไป ทรีตเมนต์บำรุงผิว การรักษาปัญหาสิว การรักษาปัญหาเม็ดสีบนผิวหนัง การยกกระชับใบหน้า การดูแลรูปร่าง เป็นต้น

2.แผนกป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพ (Wellness and Regenerative Department) คือ การให้บริการฟื้นฟูและบำรุงสุขภาพ และกระตุ้นร่างกายเพื่อให้เกิดการฟื้นฟู ตัวอย่างคอร์สการให้บริการ เช่น การฉีดวัคซีน การตรวจภูมิคุ้มกันมะเร็ง การทำ NK Treatment และ Women Wellness เป็นต้น

3.แผนกศัลยกรรมตกแต่ง (Plastic Surgery and Reconstruction Department) คือ การให้บริการหัตถการพิเศษ ซึ่งรวมถึงการศัลยกรรม การใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อทำการเสริมความงาม ตัวอย่างคอร์สที่ให้บริการ เช่น ศัลยกรรมตกแต่งตา (Eye Surgery) และศัลยกรรมตกแต่งจมูก (Rhinoplasty) ศัลยกรรมตกแต่งหน้าอก (Breast Surgery) ศัลยกรรมตกแต่งดูดไขมัน (Liposuction) ศัลยกรรมจุดซ่อนเร้น (Labiaplastry) ศัลยกรรมดึงหน้า (Facial Surgery) เป็นต้น

4.การจำจำหน่ายเวชสำอาง (Cosmeceuticals) คือ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เพื่อการดูแลผิวพรรณ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น SAL F+APP ESSENCE, SAL IEG Elastin Broth, Arbutin Plus และ Pythera Mask เป็นต้น

ณ วันที่ 30 มิ.ย.65 บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 39 สาขา ครอบคลุม 15 จังหวัด ทั่ว 5 ภูมิภาคของประเทศไทย และร้านทำเล็บ 3 สาขา

ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียน 110 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 220,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และทุนที่ชำระแล้ว 80 ล้านบาท หรือหุ้นสามัญที่ชำระแล้วจำนวน 160,000,000 หุ้น สำหรับหุ้นสามัญที่เหลืออีกจำนวน 60,000,000 หุ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการเสนอขายหุ้น IPO

โครงสร้างผู้ถือหุ้น ได้แก่ กลุ่มทองวัฒน์ (นายอภิรุจ ทองวัฒน์, 2.บริษัท ทีเคคิวเอช แคปปิตอล แมนเนจเมนท์ จำกัด และ นางพจนันท์ ศรีอภัย) มีสัดส่วน 71.97% จะลดลงเป็น 52.35% ภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชน นอกจากนี้ บมจ.เอกชัยการแพทย์ (EKH) ถืออยู่ 10% จะลดลงเหลือ 7.27%, นายรัฐพล กิตติชัย ถือสัดส่วน 9.85% จะลดลงเหลือ 7.18% , นายไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ถือสัดส่วน 3.64% จะเหลือ 2.65%

ผลประกอบการในปี 62-64 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการรักษาพยาบาล จำนวน 975.84 ล้านบาท 1,000.55 ล้านบาท และ 949.93 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิ 115.47 ล้านบาท 144.69 ล้านบาท และ 129.25 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้ฯที่ลดลงในปี 64 เมื่อเทียบกับปี 63 มีสาเหตุหลักมาจาก ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ภาครัฐต้องดำเนินมาตรการการควบคุมเข้มงวดขึ้น และสั่งปิดสถานเสริมความงานในเขตกรุงเทพและปริมณฑลชั่วคราว

ส่วนไตรมาส 1/65 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการรักษาพยาบาล จำนวน 331.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 49.85 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 45.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 41.10 ล้านบาท

ณ วันที่ 31 มี.ค.65 บริษัทมีสินทรัพย์รวมจำนวน 991.50 ล้านบาท หนี้สินรวม 785.38 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้น 206.12 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ