*Zipmex ระงับถอน!! สายคริปโทฯ เจ็บหนัก
Zipmex ผู้ประกอบธุรกิจซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) เจ้าใหญ่ในวงการคริปโทฯ ไทย ที่ได้รับการรับรองการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ก.ล.ต. ได้ประกาศในวันพุธที่ 20 ก.ค. ว่าได้ระงับการถอนเงินจากแพลตฟอร์ม
และในช่วงค่ำในวันเดียวกัน นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Zipmex Thailand ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงการประกาศระงับการถอนเงินบาทและคริปโทฯ เป็นการชั่วคราวว่า "เนื่องจากเกิดปัญหากับการให้บริการ Zip-up ของลูกค้าในประเทศไทยที่ได้ทำการฝากไปที่ Zipmex Global ในสิงคโปร์ โดยคู่ค้าของ Zipmex Global คือ Bebel Finance ผู้ให้บริการการลงทุนด้านคริปโทฯ และ Celsius แพลตฟอร์มกู้ยืมคริปโทฯ ชื่อดังในสหรัฐฯ ซึ่งได้ประกาศยื่นล้มละลายไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีอยู่ใน Zip-up ทั้ง Bitcoin, Ethereum, USDT และ USDC มีปัญหา"
ในแพลตฟอร์มของ Zipmex จะมีกระเป๋าเงิน 2 ประเภท นั่นก็คือ Trade Wallet และ Z Wallet หากผู้ใช้งานฝากเงินเข้าไปในแพลตฟอร์ม เงินจะเข้าไปที่ Trade Wallet เวลาเราซื้อ ขาย คริปโทฯ หรือเหรียญต่าง ๆ เราก็จะใช้เงินในกระเป๋าเงินนี้
ส่วน Z Wallet ก็คือกระเป๋าเงินที่ให้บริการ Staking เหรียญ หรือการนำเหรียญไปฝากเพื่อรับผลตอบแทน ผู้ใช้งานจะสามารถโอนเหรียญระหว่าง Trade Wallet และ Z Wallet ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย และถ้าผู้ใช้งานโอนเหรียญเข้าไปใน Z Wallet เหรียญก็จะเข้าโปรแกรม Zip-Up ทำให้ผู้ใช้งานสามารถรับเหรียญเพิ่มตามอัตราส่วนที่แสดงในแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมนูที่อยู่ใน Z Wallet
ทั้งนี้ นายเอกลาภ ได้ระบุชัดเจนว่า สินทรัพย์ดิจิทัลและเงินบาทของลูกค้าที่ฝากไว้ใน Trade Wallet ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว ผู้ใช้งานยังสามารถฝากถอนได้ตามปกติ แต่การโอนเหรียญระหว่าง Z Wallet กับ Trade Wallet จะถูกระงับชั่วคราวไปก่อน
ทาง นายเอกลาภ และ Zipmex Thailand ก็ได้เตรียมดำเนินการทางกฎหมายกับทาง Zipmex Global รวมถึงคู่ค้า เพื่อนำสินทรัพย์ดิจิทัลกลับคืนมาให้กับลูกค้า พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานมาร่วมดำเนินคดีความแบบกลุ่ม (Class Action) ซึ่งบริษัทจะออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้ทั้งหมด เพื่อนำสินทรัพย์กลับคืนมาให้ได้
ขณะเดียวกัน บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทขนาดใหญ่ที่สนใจเข้ามาซื้อกิจการมาระยะหนึ่ง หากสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ ก็จะนำเงินที่ได้รับในส่วนนี้มาชำระคืนให้กับลูกค้าก่อนด้วย สำหรับใครที่สงสัยเกี่ยวกับ Class Action Law สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในคอลัมน์ DeCrypto https://www.infoquest.co.th/2022/209470
ด้านสำนักงาน ก.ล.ต. ก็ได้ออกหนังสือให้ทาง Zipmex ชี้แจงรายละเอียดกับเหตุการณ์ดังกล่าว และฝั่ง BITKUB ก็โพสต์ยืนยันว่าสินทรัพย์บนแพลตฟอร์ม BITKUB ยังคงปลอดภัย เช่นเดียวกับ Bitazza โพสต์แสดงความห่วงใย พร้อมทั้งขอให้ผู้ใช้งานมั่นใจในการให้บริการของ Exchange
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้นักลงทุนสายคริปโทฯ หลายคนโอดครวญไปตาม ๆ กัน อย่างที่ทุกท่านทราบว่าการลงทุนในคริปโทฯ มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนที่คิดลงทุนในตลาดคริปโทฯ ควรลงทุนด้วยเงินที่ความคิดว่าสามารถสูญเสียได้ ประเมินความเสี่ยง และลงทุนด้วยความรู้
*ผู้สร้าง Metamask เปิดเผย ลงทุนในคริปโทฯ ไม่ต่างจากการพนันหรือแชร์ลูกโซ่
หากพูดถึงสาย DeFi ไม่มีใครไม่เคยใช้งาน Metamask ล่าสุด ทางผู้สร้าง Metamask กระเป๋าเงินคริปโทฯ (Crypto Wallet) ที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นเว็บเบราว์เซอร์ที่เชื่อมต่อผู้ใช้งานเข้ากับระบบ ทั้งนาย Aaron Davis และนาย Dan Finlay ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Vice พร้อมยอมรับว่าคริปโทฯ เป็นเหมือนการพนันแล้วก็แชร์ลูกโซ่
ใจความสำคัญ นาย Davis ออกมายอมรับว่าการนำเงินไปซื้อคริปโทฯ ก็เหมือนการพนัน (Putting Your Money in Cryptocurrencies is Gambling) และยังระบุอีกว่า "ออกมาพูดเรื่องนี้ช้าไป สิ่งที่พวกเรามีตอนนี้ยังไม่ใช่อนาคตของโลกการเงิน และเราก็ไม่ควรนำเงินเก็บทั้งชีวิตมาลงทุนในคริปโทฯ และไม่แปลกใจเลยที่โครงการคริปโทฯ จำนวนมากจะล้มเหลว เพราะว่ามันเป็นแชร์ลูกโซ่"
ทางด้านนาย Finlay กล่าว "การล่มสลายของบริษัทคริปโทฯ ในปี 2022 นี้ เกิดจากบริษัทที่เรียกตัวเองว่า DeFi แต่จริง ๆ แล้วทำตัวเป็นธนาคารเงาที่อาศัยวิธี Leverage หรือการวางหลักประกันบางส่วนแล้วกู้หรือใช้เงินเกินมูลค่า โดยไม่โปร่งใสเรื่องข้อมูล"
และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยคนเพียงคนเดียว หรือว่าองค์กรใดองค์กรหนึ่ง สิ่งที่ MetaMask ทำได้ ก็คือทำให้ธุรกรรมคริปโทฯ มีความปลอดภัยมากขึ้น สามารถแสดงข้อมูลธุรกรรมให้เด่นชัดและเข้าใจง่ายกว่าเดิม เพื่อแก้ปัญหา Phishing ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
*Tesla เทขายบิทคอยน์ยับกว่า 75%
ช่วงนี้บริษัทจดทะเบียนทั่วโลกต่างทยอยรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2022 กันแล้วและ บริษัท Tesla ของนายElon Musk ก็เช่นกัน
หากดูจากรายงานผลประกอบการจะพบว่า Tesla ได้ถือครองบิทคอยน์อยู่เพียง 218 ล้านดอลลาร์ และได้ก็มีการระบุชัดเจนว่าได้ทำการขายบิทคอยน์ไปแล้วกว่า 75% เป็นเงินสดมูลค่ากว่า 936 ล้านดอลลาร์ นั่นเท่ากับว่ามีการขายเฉลี่ยที่ราคา 29,000 ดอลลาร์ ต่อ 1 บิทคอยน์
เรื่องนี้พอฟังแล้วก็ช็อก เพราะนาย Elon Musk ชอบออกมาพูดเป็นประจำว่าจะไม่ขายบิทคอยน์
https://youtu.be/LAfIMCWVE84