นายปัญญา บุญญาภิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.บี จิสติกส์ (B) เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม B ในช่วงครึ่งหลังปี 65 ยังคงเดินหน้าขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก และบริษัทร่วมทุนด้านพลังงานทางเลือก ธุรกิจจำหน่ายน้ำดิบ รวมทั้งการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้ บริษัท บียอนด์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกอยู่ในระหว่างการศึกษาธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC)
"ครึ่งปีหลังภาพรวมผลการดำเนินของกลุ่ม B ยังโตต่อเนื่อง เราใช้เงินเพิ่มทุนที่ได้จาก ผู้ถือหุ้นในการขยายธุรกิจอย่างคุ้มค่า เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีกลับมาสู่ผู้ถือหุ้น ตามแผนยุทธศาสตร์ที่โฟกัส 2 ธุรกิจหลักคือ กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือ Green Logistics และธุรกิจสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือ Green Utilities ซึ่งเราเชื่อว่าปี 65 ผลประกอบการทั้งปีจะมีกำไรสุทธิเกิดขึ้นต่อเนื่องจากปี 64 ที่ B มีกำไรสุทธิ 129 ล้านบาท"นายปัญญา กล่าว
ธุรกิจจำหน่ายน้ำดิบ ดำเนินธุรกิจโดยบริษัทเทพฤทธา จำกัด อยู่ในช่วงของการ เร่งสร้างรายได้ เพิ่มยอดขาย เพื่อให้ผลประกอบการสอดคล้องกับเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดได้ตามแผนภายใน 2 ปี โดยล่าสุดคณะกรรมการบริษัทบี จิสติกส์ฯ ได้มีมติให้เทพฤทธาลงทุนซื้อบ่อน้ำพื้นที่ 6 ไร่ 40 ตารางวา เพื่อเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 12 ล้าน ลบ.ม. รองรับความต้องการของลูกค้า จากปัจจุบันที่ผลิตได้ประมาณ 5-8 ล้านลบ.ม.
นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัท บี จิสติกส์ ได้มีมติให้ให้ บริษัท บียอนด์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูก เข้าศึกษาธุรกิจบริหารสินทรัพย์หรือ AMC เนื่องธุรกิจ AMC มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นตามภาวะหนี้สินภาคประชาชน ขณะที่ตัวเลขหนี้เสีย (NPLs) ปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากผลกระทบของโควิด-19 ที่ผ่านมา จึงเป็นโอกาสลงทุนที่ดี สามารถสร้างผลกำไรต่อบริษัทเพิ่มยิ่งขึ้น
สำหรับการลงทุนด้าน Green Utilities บริษัทลงทุนผ่าน บริษัท เดอะ เมกะวัตต์ จำกัด ประกอบธุรกิจด้านพลังงานทางเลือกทั้งในประเทศและต่างประเทศ ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้ใส่เงินลงทุนเพิ่มอีก 300 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเป็นกว่า 46% ของทุนจดทะเบียน
การขยายเงินลงทุนในครั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นคงและเติบโตในอนาคต เนื่องจากมองว่าธุรกิจผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มีการซื้อขายในรูปแบบของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ระยะยาวประมาณ 25-30 ปี จึงเป็นการการันตีรายได้ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตามในปี 64 บริษัท เดอะ เมกะวัตต์ มีกำไรสุทธิ 135 ล้านบาท และปี 65 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนทิศทางของธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มเติบโตที่ดี คาดผลประกอบการไตรมาส 2/65 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/65 ที่รายได้จากการให้บริการด้านขนส่งขยายตัวเกือบ 15% โดยปัจจุบันบริษัทมีรถหัวลากในส่วนของซับคอนแทรคที่เป็นพันธมิตร เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าจำนวนกว่า 200 คัน และมีรถหัวลากของบริษัท 66 คัน หลังจากที่บริษัทได้มีการขยายการให้บริการไปในกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม ข้าวสาร และอาหารสัตว์ ที่มีปริมาณความต้องการใช้บริการสูงมาก จากปี 64 บริษัทมีรถหัวลากจากซับคอนแทรคเพียง 100 คัน และของบริษัทเอง 37 คัน