นายนพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ (SCM) เปิดเผยถึงความคืบหน้าธุรกิจลิสซิ่งภายใต้ชื่อ บริษัท จัดให้ ลิสซิ่ง จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจการให้บริการสินเชื่อประเภทเช่าซื้อ จำนำทะเบียนรถ และจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะเริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือน ส.ค.65 นี้
ทั้งนี้ บริษัทได้วางกลยุทธ์เพื่อดำเนินงานทางธุรกิจ ในการให้บริการสินเชื่อในช่วงแรก โดยจะมุ่งเน้นกลุ่มเครือข่ายสมาชิกของบริษัทฯ เป็นหลัก และหลังจากนั้นบริษัทมีแผนเตรียมขยายการให้บริการกับกลุ่มลูกค้าทั่วไป ตั้งเป้าการขยายพอร์ตปล่อยสินเชื่อ ภายในระยะเวลา 3 ปี (65-67) ที่ระดับ 1,000 ล้านบาท โดยคาดว่าภายในปีนี้ บริษัทจะสามารถปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มสมาชิกและกลุ่มลูกค้าทั่วไปได้ประมาณ 50-100 ล้านบาท
การลงทุนในธุรกิจลิสซิ่งครั้งนี้ ถือเป็นการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ของ SCM โดยบริษัทฯ มองว่าธุรกิจดังกล่าวจะสามารถรองรับความต้องการเงินทุนของกลุ่มสมาชิก MLM ที่มีอยู่กว่าในปัจจุบัน 160,000 ราย เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจ รวมไปถึงการใช้เงินเพื่อการอุปโภคบริโภค ขณะเดียวกัน ธุรกิจลิสซิ่ง เป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งการเติบโตดังกล่าวส่งผลให้บริษัทฯ ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจลิสซิ่ง เข้ามาเฉลี่ย 10% ต่อปีของรายได้รวมในปี 66 และปรับเพิ่มสูงขึ้นในปีถัดไป
สำหรับทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มองว่า ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นอานิสงส์เชิงบวกเนื่องจากช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของทุกปีเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ขณะเดียวกัน บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ เริ่มทำการตลาดแบบออฟไลน์ (Offline) มากขึ้น เพื่อกระตุ้น สอนเทคนิค และวิธีการต่างๆ ให้กับกลุ่มเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดรับกับแผนการขับเคลื่อนผ่านกลยุทธ์ อาทิ 1.การขยายเพิ่มฐานสมาชิก, 2.การเจาะขยายตลาดเกษตรกรและตลาด Silver Age, 3.การขยายดีลเลอร์ต่างประเทศ และ 4.การพัฒนายกระดับความแข็งแกร่งของทีมขยายเครือข่าย
อีกทั้ง บริษัทฯ เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product) และผลิตภัณฑ์ทดแทน (Product Replacement) อาทิ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารกำจัดวัชพืชและเพิ่มฮอร์โมนพืช ภายใต้แบรนด์ "Growing More", ครีมบำรุงผิวหน้า Brightening ภายใต้แบรนด์ "S Mone", ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการนอนหลับ ภายใต้แบรนด์ "Nutrinal" เป็นต้น ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์เรือธง (Flagship) ในปีนี้ และจากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯ มั่นใจว่า ผลการดำเนินงานในปี 65 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ คือรายได้รวมเติบโตขึ้น 20 % เมื่อเทียบจากปี 64
"ด้วยฐานสมาชิก (Member) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ไตรมาสที่ผ่านมา จะช่วยสนับสนุนการรับรู้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของบริษัทฯ ในวงกว้างขึ้น โดยเชื่อว่าในครึ่งหลังของปี 65 จะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีก 50,000 ราย จากปัจจุบันที่มีจำนวนสมาชิกกว่า 120,000 ราย ซึ่งจะส่งผลให้สิ้นปีจะมีจำนวนสมาชิกรวม 170,000 ราย
สำหรับกลยุทธ์หลักในการขยายฐานสมาชิก คือการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขณะเดียวกันก็มุ่งพัฒนาบุคลากรให้เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มมากขึ้น รวมถึงการมองหา Brand Ambassador (แบรนด์แอมบาสเดอร์) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา และการขยายตลาดส่งออก ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในประเทศฟิลิปปินส์ จากปัจจุบันที่มีตัวแทนจำหน่ายแล้วใน 6 ประเทศ ได้แก่ พม่า, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย และสิงคโปร์ "