ทริสฯจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ใหม่ 2 หมื่นลบ. BCP ที่ A- แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 27, 2022 16:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ที่ระดับ "A-" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทที่ระดับ "BBB" ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิตยังคงเป็น "Stable" หรือ "คงที่"

ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A-" ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการมีความยืดหยุ่นในการดำเนินงานโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท รวมถึงประโยชน์จากการมีบูรณาการระหว่างธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจการตลาดของบริษัท รวมถึงการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลาย และสถานะทางการตลาดที่มั่นคงในธุรกิจการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง (Fuel Marketing Business) แต่ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของค่าการกลั่น (Gross Refinery Margin ? GRM) และราคาน้ำมันตลอดจนแรงกดดันที่มีต่อค่าการตลาด นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังได้รับผลกระทบจากแผนการลงทุนที่อาจจะทำให้บริษัทมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีผลการดำเนินงานดีกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ โดยบริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ระดับ 1.16 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 152% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่ง EBITDA ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนั้นเป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบและค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้นรวมถึงกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการรวมผลการดำเนินงานของ OKEA ASA (OKEA) เข้ามาตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2564 โดยผลการดำเนินงานของ OKEA คิดเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 37% ของ EBITDA ของบริษัท หรือคิดเป็น 4.2 พันล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2565

ณ เดือนมีนาคม 2565 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 1.9 เท่าเนื่องจากการมี EBITDA ที่สูงเกินกว่าที่คาดประกอบกับการมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าประมาณการ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีภาระหนี้สินทางการเงินเพิ่มขึ้นจากแผนการใช้จ่ายและลงทุนของบริษัท ในการนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าการขายเงินลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซียมูลค่า 440 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.46 หมื่นล้านบาทนั้นน่าจะช่วยสนับสนุนโครงสร้างเงินทุนของบริษัทได้ในช่วงการขยายธุรกิจ

ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีภาระหนี้รวมอยู่ที่ 8.8 หมื่นล้านบาท (รวมหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน) โดยหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนประกอบด้วยหนี้ที่มีหลักประกันมูลค่า 1.8 หมื่นล้านบาทและหนี้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทย่อยมูลค่า 2.4 หมื่นล้านบาท ดังนั้น อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทจึงอยู่ที่ระดับประมาณ 48%

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจการตลาดของบริษัทเอาไว้ได้ต่อไป ในขณะที่การลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าก็คาดว่าจะช่วยให้บริษัทมีผลกำไรที่สูงขึ้นและมั่นคงยิ่งขึ้นด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอจากความพยายามในการสร้างความหลากหลายในการลงทุนของบริษัทโดยที่ไม่ทำให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ปัจจัยที่มีผลในเชิงลบต่ออันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ หรือโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากซึ่งอาจเกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องมีการก่อหนี้ หรือบริษัทประสบผลขาดทุนอย่างมากจากการลงทุนจนทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 8 เท่าเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ