ทริสฯคงอันดับเครดิตองค์กร PRIME ที่ BBB- แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 27, 2022 16:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ไพร์ม โรด เพาเวอร์ (PRIME) ที่ระดับ "BBB-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนประสบการณ์ของบริษัทในการพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในประเทศไทยและกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ในระดับสูงจากการที่บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวก็ถูกลดทอนจากการที่ธุรกิจของบริษัทมีขนาดเล็กและจากความเสี่ยงในการดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ ๆ ในต่างประเทศ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่ระดับหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงของการขยายธุรกิจ

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

  • มีประสบการณ์ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ความแข็งแกร่งของบริษัทเกิดจากผลงานที่ยาวนานในการพัฒนาและดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์หลายแห่งในประเทศไทย โดยบริษัทเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากการเริ่มพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในปี 2554 ซึ่งมีกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวม 72 เมกกะวัตต์ บริษัทได้ขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่น ๆ ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเติบโตของบริษัท

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 กำลังการผลิตรวมตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 255 เมกะวัตต์ ในจำนวนนี้ประมาณ 143 เมกะวัตต์ได้ดำเนินการผลิตแล้ว ทั้งนี้ หากนับตามสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าแล้ว บริษัทจะมีกำลังการผลิตรวมตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าทั้งสิ้นประมาณ 187 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในประเทศไทย (69 เมกะวัตต์) ประเทศกัมพูชา (60 เมกะวัตต์) ไต้หวัน (53 เมกะวัตต์) และประเทศญี่ปุ่น (4.6 เมกะวัตต์)

  • กระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ในระดับสูงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า แม้บริษัทเพิ่งจะขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ ๆ อันประกอบด้วยการจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ด้านไฟฟ้า การรับเหมาติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคา และนวัตกรรมใหม่ ๆ แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าน่าจะยังสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในสัดส่วนมากกว่า 3 ใน 4 ของทั้งหมดในระยะ 3 ปีข้างหน้า

อันดับเครดิตพิจารณาถึงความเสี่ยงในระดับต่ำซึ่งเป็นธรรมชาติของธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งเกิดจากความเสี่ยงในการดำเนินงานและความเสี่ยงในการได้รับชำระเงินจากผู้รับซื้อไฟฟ้าที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว โดยพลังแสงอาทิตย์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในปริมาณที่คาดการณ์และสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอน ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ปริมาณไฟฟ้ารวมต่อปีที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ของบริษัทนั้นถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจและมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ที่ระดับ 70%-80%

ธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีความเสี่ยงในการได้รับชำระเงินจากผู้รับซื้อไฟฟ้าในระดับต่ำเพราะโรงไฟฟ้าของบริษัทส่วนใหญ่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับหน่วยงานด้านไฟฟ้าของภาครัฐ โดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าวมีระยะเวลาที่ยาวนานสูงสุดถึง 25 ปี นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายไปสู่การจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ภาคเอกชน ซึ่งสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาคเอกชนโดยทั่วไปนั้นมีความเสี่ยงในการได้รับชำระเงินจากผู้รับซื้อไฟฟ้าที่สูงกว่า อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตภายใต้รูปแบบสัญญาดังกล่าวน่าจะยังคงเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่า 5% ของกำลังการผลิตทั้งหมดของบริษัท

  • ความเสี่ยงจากการจัดการโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ในต่างประเทศ บริษัทยังคงขยายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในไต้หวันและกัมพูชาซึ่งทำให้ความเสี่ยงในการดำเนินการโครงการใหม่ ๆ ที่อยู่ระหว่างพัฒนาเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองว่าบริษัทน่าจะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการเหล่านี้ได้ และโครงการใหม่ ๆ น่าจะสร้างผลกำไรที่น่าพอใจ

บริษัทประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ขนาด 6 เมกะวัตต์แห่งแรกในไต้หวันในปี 2562 อีกทั้งยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์กำลังการผลิตรวม 47 เมกะวัตต์ในไต้หวันที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา ทั้งนี้ โครงการเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) และการขาดแคลนชิป โดยเกิดความล่าช้าในการผลิตและการขนส่งแผงโซล่าร์ ในขณะที่การก่อสร้างและการติดตั้งอุปกรณ์ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการของรัฐบาลไต้หวันในการจำกัดการเดินทางและการปิดเมือง (Lockdown) ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไต้หวันได้ขยายกำหนดเวลาสิ้นสุดการก่อสร้างโครงการออกไป แม้ความเสี่ยงของการก่อสร้างจะยังคงมีอยู่แต่ทริสเรทติ้งก็เชื่อว่าบริษัทจะสามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จได้ตามกำหนด

โครงการในต่างประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัทคือโครงการ "National Solar Park" เฟสแรกในประเทศกัมพูชา โดยโครงการพลังแสงอาทิตย์ขนาด 60 เมกะวัตต์ดังกล่าวมีกำหนดการจ่ายไฟฟ้าในช่วงปลายปี 2565 ทริสเรทติ้งเห็นว่าการลงทุนในประเทศกัมพูชามีความเสี่ยงสูงกว่าในประเทศไทย โดยปัจจัยเสี่ยงหนึ่งก็คือความเสี่ยงของคู่สัญญาซึ่งทริสเรทติ้งมองว่าสถานะเครดิตของการไฟฟ้ากัมพูชา (Electricity of Cambodia ? EDC) ที่เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าภาครัฐนั้นไม่เข้มแข็งเท่ากับของผู้รับซื้อไฟฟ้าภาครัฐในประเทศไทย ในขณะที่ประวัติผลงานในการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ในประเทศกัมพูชาก็ยังมีจำกัดอีกด้วยเนื่องจากยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา

แต่การเข้ามามีบทบาทของธนาคารพัฒนาเอเชียซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาโครงการและผู้สนับสนุนทางการเงินหลักก็ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการพัฒนาลงได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การควบคุมต้นทุนจะเป็นสิ่งท้าทายเนื่องจากโครงการดังกล่าวมีอัตรารับซื้อไฟฟ้าในระดับต่ำที่ 3.877 เซ็นต์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ทั้งนี้ บริษัทได้ทำสัญญาจ้างดำเนินการปฏิบัติงานและบำรุงรักษาในราคาที่ตกลงกันไว้แล้วเพื่อควบคุมต้นทุนในการดำเนินงาน เนื่องจากกำลังการผลิตของโครงการนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมที่คิดตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ผลการดำเนินงานของโครงการนี้จะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงหลายปีข้างหน้า

  • ธุรกิจมีขนาดเล็กแต่กำลังเติบโต บริษัทมีขนาดธุรกิจค่อนข้างเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทผลิตไฟฟ้าอื่น ๆ ที่ได้รับการจัดอันดับโดยทริสเรทติ้ง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าและรายได้จากธุรกิจใหม่ 3 ธุรกิจจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะ 3 ปีข้างหน้า โดยรายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันล้านบาทในปี 2567 ภายใต้สมมติฐานว่าบริษัทจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ปีละ 30 เมกะวัตต์ในช่วงปี 2565-2567

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังไม่รวมโครงการขนาดใหญ่ 2 โครงการในไต้หวันไว้ในประมาณการเนื่องจากยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา ซึ่งตามสมมติฐานดังกล่าว รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 พันล้านบาทในปี 2567 จาก 368 ล้านบาทในปี 2564 ส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่ 3 ธุรกิจน่าจะอยู่ที่ประมาณ 300-400 ล้านบาทต่อปีในระยะ 3 ปีข้างหน้า

ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงประมาณ 900 ล้านบาทในปี 2567 จาก 577 ล้านบาทในปี 2564 ในขณะที่ EBITDA Margin ของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับ 55%-75% ในระยะ 3 ปีข้างหน้าเมื่อเทียบกับระดับ 76.1% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 การลดลงดังกล่าวสะท้อนถึงสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจใหม่ 3 ธุรกิจที่มีอัตรากำไรต่ำกว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้า

  • การก่อหนี้จะเพิ่มสูงขึ้น อันดับเครดิตมีปัจจัยลดทอนจากแนวโน้มที่ระดับหนี้สินจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงการขยายธุรกิจของบริษัท โดยทริสเรทติ้งคาดว่างบลงทุนของบริษัทจะอยู่ในช่วง 1.5-4 พันล้านบาทต่อปีในระยะ 3 ปีข้างหน้า ส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ที่ 350-650 ล้านบาทต่อปีนั้นไม่น่าจะครอบคลุมงบลงทุนได้ทั้งหมด และจะทำให้บริษัทต้องหาแหล่งเงินทุนจากภายนอกเพื่อนำมาสนับสนุนการลงทุนใหม่ ๆ

ทั้งนี้ ในกรณีที่ไม่มีการเพิ่มทุน ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6%-10% ในช่วงปี 2565-2567 จากระดับที่สูงกว่า 15% ในปีก่อน ๆ และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 7-10 เท่าในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อเทียบกับระดับ 4.5 เท่าในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2565 กรณีหากรวมโครงการขนาดใหญ่ 2 โครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาในไต้หวันเข้าไปด้วยระดับหนี้สินก็จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะจัดการแรงกดดันของระดับหนี้สินได้อย่างเหมาะสมเมื่อพิจารณาถึงแผนเพิ่มทุนของบริษัทเพื่อรองรับการเติบโต

ณ เดือนมีนาคม 2565 หนี้สินรวมของบริษัทไม่นับหนี้สินตามสัญญาเช่ามีจำนวน 3.7 พันล้านบาท โดยเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) ซึ่งประกอบด้วยหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทและหนี้ทั้งหมดของบริษัทย่อยจำนวนประมาณ 2.3 พันล้านบาท ทำให้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ 60% เนื่องจากสัดส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์ของทริสเรทติ้งที่ 50% ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันจะด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญ

  • สภาพคล่องน่าจะบริหารจัดการได้ บริษัทน่าจะบริหารจัดการสภาพคล่องได้อย่างเพียงพอ โดยในระยะ 12 เดือนข้างหน้าบริษัทมีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 662 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ระยะสั้นสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 51 ล้านบาทและเงินกู้ระยะยาวจากธนาคารอีกจำนวน 611 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดจำนวน 986 ล้านบาท เงินทุนจากการดำเนินงานในระยะ 12 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 465 ล้านบาท ทั้งนี้ สินทรัพย์สภาพคล่องและเงินจากการดำเนินงานรวมกันจำนวน 1.5 พันล้านบาทดังกล่าวน่าจะเพียงพอในการใช้ชำระหนี้ที่จะครบกำหนด นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 189 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 สำหรับเป็นแหล่งสภาพคล่องอีกด้วย

บริษัทมีข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ที่ต้องดำรงอัตราส่วนเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนไม่เกิน 3 เท่า ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.9 เท่า ณ เดือนมีนาคม 2565 ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดระยะเวลา 12-18 เดือนข้างหน้า

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

  • บริษัทจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 30 เมกะวัตต์ในช่วงระหว่างปี 2565-2567
  • รายได้จากการดำเนินงานรวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันล้านบาทในปี 2567
  • EBITDA Margin จะอยู่ระหว่าง 55%-75%
  • เงินลงทุนรวมจะอยู่ในช่วง 1.5-4 พันล้านบาทต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะยังคงสร้างผลการดำเนินงานให้แก่บริษัทเป็นหลัก อีกทั้งโรงไฟฟ้าของบริษัทจะยังคงมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจและสร้างกระแสเงินสดที่เชื่อถือได้ต่อไป นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาและมีผลตอบแทนที่น่าพอใจ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีจำกัดในช่วงที่บริษัทมีการขยายการลงทุนจำนวนมาก แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มฐานกระแสเงินสดในขณะที่ยังรักษาโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ต่ำกว่าการคาดการณ์หรือเป้าหมายที่วางไว้อย่างมาก หรือหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ