CHIC ปิดเทรดวันแรกที่ 0.95 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท หรือ 5.56% จากราคา IPO ที่ 0.90 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,131.24 ล้านบาท จากราคาเปิด 0.93 บาท ราคาสูงสุด 1.04 บาท ราคาต่ำสุด 0.93 บาท
บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 ของ บมจ.ชีค รีพับบลิค (CHIC) ที่ 1.00 บาท โดยใช้วิธี 2022E PER ที่ 20.00x โดยอิงจากค่าเฉลี่ยที่ต่ากว่าของบริษัทที่มีลักษณะธุรกิจใกล้เคียงกันในตลาดได้แก่ DOHOME, ECF, GLOBAL, HMPRO, ILM และ MODERN เนื่องจากขนาดของบริษัทยังถือว่าค่อนข้างเล็กในอุตสาหกรรมนี้เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ ทั้งนี้มองว่าผลดำเนินงานปี 2565-2566 จะสามารถเติบโตอย่างมีนัยสาคัญ
CHIC หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ในการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบบครบวงจรในที่เดียว ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน, ของใช้ในบ้าน และที่นอนและเครื่องนอนครบวงจร เป็นโฮมแฟชั่นสโตร์แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ในรูปแบบของ Stand alone ที่มีจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งอาคารที่ออกแบบอย่างโดดเด่น และสินค้าที่มีสไตล์ในเทรนด์เฟอร์นิเจอร์แบบใหม่ Modtrad style (Modern + Tradition style) เจาะลูกค้าที่ต้องการความแตกต่าง
ภายใต้บริษัทมีสินค้าแบรนด์หลัก (House brand) ได้แก่ CHIC Republic, Rina Hey และสินค้านำเข้าต่างประเทศภายใต้แบรนด์ Ashley และสินค้าแบรนด์อื่นๆ ปัจจุบันมีทั้งหมด 6 สาขา จุดแข็งคือเรื่องของดีไซน์การออกแบบที่ไม่เหมือนใคร โดยเรามองว่าหนึ่งในจุดแข็งของ CHIC เหนือกว่าคู่แข่งคนอื่นๆคือการพัฒนาเปลี่ยนดีไซน์และการจัดวางทุกๆ 3 เดือน เพื่อให้ทันสมัยและตอบโจทย์ลูกค้า ซึ่งออกแบบโดยทีมงานคุณภาพ และเพื่อให้ลูกค้าเดินชมสินค้าอย่างเพลิดเพลินและแปลกตาที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน จึงทำให้เป็นข้อได้เปรียบของบริษัทในเรื่องของการเปรียบเทียบราคา เนื่องจากสินค้านั้นยากต่อการเทียบราคากับคู่แข่งและทำให้บริษัทมี margin สูงกว่า
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ให้กับโครงการต่างๆ ที่เป็นบริษัทชั้นนำของประเทศ ในช่วงที่ผ่านมาอุตสาหกรรมคอนโดมีเนียมถูกผลกระทบจากโควิด ทางบริษัทจึงเล็งเห็นงานโครงการแนวราบและโรงแรมมากขึ้น เนื่องจากโรงแรมต้องการ renovate และเตรียมการเปิดหลังจากถูกปิดไปช่วงโควิด CHIC จึงได้รับผลประโยชน์และขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น
ประเมินกำไรสุทธิปี 2565-2566 อยู่ที่ 58 ล้านบาท (+203% YoY) และ 67 ล้านบาท (+14% YoY) บนสมมติฐาน 1) รายได้ปี 2565-2566 อยู่ที่ 784 ล้านบาท (+18% YoY) และ 867 ล้านบาท (+11% YoY) เติบโตได้ต่อเนื่อง จากรายได้ส่วนของหน้าร้านและงานโครงการ ที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ YoY หลังจากหดตัวในช่วงผลกระทบโควิดและในส่วนของ Design studio ยังมีพื้นที่ให้เติบโต เนื่องจากธุรกิจนี้พึ่งเปิดให้บริการในปี 2564 และเป็นผู้เล่นรายใหม่จึงยังไม่เป็นที่รู้จักของตลาด 2) Gross Margin ในปี 2565-2566 จะกลับมาอยู่ที่ระดับ 54% เพิ่มขึ้นจาก 53% ของปี 2564 ซึ่งเป็นระดับปกติก่อนจะโดนผลกระทบของโควิด ในไตรมาส 1/65 บริษัททำกำไรสุทธิอยู่ที่ 13 ล้านบาท ที่ฟื้นตัวจากการได้รับงานโครงการแนวราบมากขึ้น และงาน renovate โรงแรมของกลุ่มลูกค้าใหม่
จุดแข็งคือเรื่องของดีไซน์กำรออกแบบที่ไม่เหมือนใคร โดยในปี 2564 บริษัทมีการเปิดตัวสินค้ากลุ่มเครื่องนอนที่นำเข้าจากต่างประเทศภายใต้แบรนด์ "Ashley Sleep" ซึ่งเป็นที่นอนที่มีคุณภาพดีและเป็นสินค้าขายดีในสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทมองเห็นศักยภาพของตลาดที่นอน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องและมีโอกาสการเติบโตสูง สินค้านำเข้ามียอดขายและผลตอบรับที่ดี ทำให้ CHIC ขยายกลุ่มสินค้าให้มีความหลากหลายและครบวงจรมากขึ้น เราจึงมองว่ารายได้จาก Store retail และ Online ในปี 2565-2566 จะเติบโต +20% YoY และ 10% YoY ตามลำดับ และจาก Project-based เติบโต +14% YoY และ +12% YoY ตามลำดับ จากการฟื้นตัวของสถานการณ์โควิดที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ในปี 2564 บริษัทมีการเปิดให้บริการออกแบบและตกแต่งภายในครบวงจรภายใต้หน่วยธุรกิจใหม่ชื่อ "Chic design studio" โดยได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี เราคาดว่าจะขยายตัว +7% YoY และ +6% YoY ตามลาดับ ในส่วนรายได้จากการให้บริการนั้นมาจากการให้เช่าพื้นที่ภายในอาคารของแต่ละสาขา ได้แก่ Mcdonald, Starbuck, Luk Kai Thong และบ้านส้มตำ เป็นต้น โดยทางบริษัทเลือกร้านค้าที่มีเอกลักษณ์และส่งเสริมธุรกิจของบริษัท เพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มปริมาณผู้เข้ามาใช้บริการในแต่ละสาขา รายได้ส่วนนี้ยังมีส่วนแบ่งจากรายได้ของผู้เช่าตามสัดส่วนที่ตกลงกัน โดยคาดว่าจะเติบโต +7% YoY และ +9% YoY ตามลำดับ