รายงานข่าวจากกรมธนารักษ์ ระบุว่า ในวันพรุ่งนี้ (3 ส.ค.) จะมีพิธีลงนามในสัญญาโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก (อีอีซี) ระหว่างกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง กับ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด
โดยก่อนหน้านี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ระบุว่ายังไม่ได้รับรายงานเรื่องการเซ็นสัญญาดังกล่าวระหว่างธนารักษ์ กับวงษ์สยาม แต่หากจะมีการลงนามจริง ก็เชื่อว่ากรมธนารักษ์คงได้พิจารณาแล้ว
ด้านบมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW) เปิดเผยว่า จากที่กรมธนารักษ์จะลงนามในสัญญาเช่าท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกกับผู้ขนะการเสนอราคาครั้งที่ 2 ในวันพรุ่งนี้นั้น มีความเกี่ยวกับประเด็นพิพาทที่บริษัทยื่นฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกของกรมธนารักษ์ต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 และต่อมาแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง โดยรวมคณะกรรมการที่ราชพัสดุ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีอีกรายเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2565 กรณีคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนฯ ซึ่งแต่งตั้งโดยกรมธนารักษ์ได้มีคำสั่งยกเลิกการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก การออกประกาศพร้อมหนังสือเชิญชวนฉบับใหม่ รวมทั้งมติคณะกรรมการที่ราชพัสดุให้ความเห็นชอบการคัดเลือกตามประกาศเชิญชวนฉบับใหม่เป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง และเมื่อศาลปกครองกลางมีคำสั่งหรือคำพิพากษาแล้วก็ยังสามารถอุทธรณ์และเข้าสู่กระบวนพิจารณาโดยศาลปกครองสูงสุดต่อไปได้ และแม้ต่อมาจะมีการลงนามเพื่อทำสัญญาในโครงการที่พิพาทแล้ว แต่หากปรากฎว่าการดำเนินการเพื่อคัดเลือกคู่สัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลย่อมมีอำนาจเพิกถอนการดำเนินการดังกล่าวได้ และหากบริษัทเห็นว่าได้รับความเดือดร้อนเสียหาย บริษัทก็ชอบที่จะใช้สิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อไปได้
ในปัจจุบันบริษัทฯมีระบบโครงข่ายน้ำ Water Grid ที่บริษัทใช้บริหารจัดการส่งน้ำในพื้นที่จังหวัดระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา รวมทั้งสิ้น 512 กิโลเมตร แบ่งเป็นท่อส่งน้ำที่เช่าบริหารจากกรมธนารักษ์ 135.90 กิโลเมตร และท่อส่งน้ำที่บริษัทฯลงทุนเอง 376.10 กิโลเมตร ซึ่งรวมถึงสถานีสูบน้ำอีกหลายแห่ง เชื่อมโยงแหล่งน้ำต้นทุนหลักในภาคตะวันออกนั้น ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของข้อพิพาทที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้น บริษัทยังคงประกอบธุรกิจได้ตามปกติ ประกอบกับบริษัทฯอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบโครงข่ายท่อส่งน้ำพร้อมก่อสร้างสถานีสูบน้ำเพิ่ม เพื่อรองรับความต้องการใข้น้ำที่เพิ่มขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทได้เริ่มดำเนินการโครงการตามแผนพัฒนาแหล่งน้ำและระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำเพิ่มอีกประมาณ 120 กิโลเมตร มีความสามารถในการสูบส่งประมาณ 350,000 ลบ.ม.ต่อวัน เชื่อมระบบ Water Grid และเสริมสร้าง Water Security เพื่อรักษาฐานลูกค้าและรองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมตามนโยบายเขต EEC ของรัฐบาล และยังได้พัฒนาสระเก็บน้ำดิบทับมา เพื่อให้มีปริมาณน้ำดิบสำรองป้องกันการขาดแคลนน้ำในกรณีภัยแล้งและสร้างเสถียรภาพการให้บริการน้ำดิบแก่ลูกค้า โดยปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ สามารถกักเก็บน้ำดิบต้นทุนจำนวน 12 ล้าน ลบ.ม. ดังนั้นจึงทำให้บริษัทฯมีแผนรองรับสถานการณ์เพื่อให้บริษัทฯสามารถบริการส่งจ่ายน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
บริษัทยังได้ต่อยอดธุรกิจจากธุรกิจน้ำดิบสู่การให้บริการธุรกิจน้ำครบวงจรน้ำครบวงจรให้แก่กลุ่มโรงงานนิคมอุตสาหกรรมต่างๆหน่วยงานของภาครัฐ และเอกชนทั้งในและนอกพื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่ การให้บริการน้ำประปา น้ำอุตสาหกรรม น้ำรีไซเคิล และการให้บริการบำบัดน้ำเสีย โดยในส่วนของการให้บริการน้ำประปก น้ำรีไซเคิล และการบำบัดน้ำเสียนั้น
ปัจจุบันมีสัญญาให้บริการลูกค้าประกอบด้วยการประปาส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นิคมอุตสาหกรรม และโรงงานอุตสาหกรรม โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในระบบผลิต งานบำรุงรักษา และระบบส่งจ่ายน้ำประปา ตลอดจนให้บริการด้านวิศวกรรม สามารถให้บริการผู้ใช้น้ำมากกว่า 200,000 ราย โดยปัจจุบันมีทั้งสิ้น 12 สัมปทาน โดยเป็นสัญญาสัมปทานระยะยาว มีอายุสัมปทานในช่วง 15-30 ปี ซึ่งสัญญาสัมปทานขนาดใหญ่ยังไม่ครบอายุในระยะเวลาอันใกล้น้ และบริษัทมีแนวโน้มได้รับความไว้วางใจต่อายุสัญญาสัมปทานเดิม
ส่วนน้ำอุตสาหกรรมนั้น บริษัทได้บริหารจัดการโครงการเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว โดยให้บริการติดตึ้งระบบผลิตน้ำอุตสาหกรรม ควบคุมคุณภาพน้ำที่ส่งจ่ายให้เหมาะสมกับความต้องการผู้ใช้น้ำในแต่ละอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันบริษัทฯมีระบบผลิตน้ำอุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตกว่า 100,000 ลบ.ม.ต่อวัน เพื่อรองรับการใช้น้ำอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ โดยได้เริ่มส่งจ่ายน้ำอุตสาหกรรมให้แก่ลูกค้าแล้ว มีอายุสัญญาอยู่ระหว่าง 15-30 ปี และบริษัทยังคงได้รับสัญญาใหม่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีโครงการให้บริการน้ำครบวงจรแก่พื้นที่อากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ได้แก่ การให้บริการน้ำประปา การให้บริการบำบัดน้ำเสีย และการให้บริการน้ำรีไซเคิล ซึ่งมีอายุสัญญา 25 ปี ทำให้บริษัทฯจะสามารถรับรู้รายได้ต่อไป