นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) (MST) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 65 บริษัทมีกำไรสุทธิ 373.33 ล้านบาท ลดลง 74.71 ล้านบาท หรือลดลง 16.67% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 448.04 ล้านบาท
เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าลดลง 368.11 ล้านบาท จาก 1,339.14 ล้านบาท เหลือ 971.03 ล้านบาท หรือลดลง 27.49% เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 372.49 ล้านบาท จาก 1,263.54 ล้านบาท เหลือ 891.05 ล้านบาท หรือลดลง 29.48% อันเป็นผลจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ลดลงจาก 98,327.80 ล้านบาท/วัน เหลือ 87,341.78 ล้านบาท/วัน หรือลดลง 11.17%
และสัดส่วนนักลงทุนบุคคลซึ่งเป็นส่วนรายได้หลักของบริษัทลดลงจาก 48.12% เหลือ 40.63% อันเป็นผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของนักลงทุนบุคคลลดลงจาก 47,317.71 ล้านบาท/วัน เหลือ 35,486.53 ล้านบาท/วัน หรือลดลง 25% ในขณะที่รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 4.38 ล้านบาท จาก 75.60 ล้านบาท เป็น 79.98 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.79%
สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท จาก 64.01 ล้านบาท เป็น 91.01 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 42.18% เนื่องจาก ค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 19.15 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมการขายและการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น 10.55 ล้านบาท ในส่วนของค่าที่ปรึกษาทางการเงินลดลง 1.51 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมและบริการอื่นลดลง 1.19 ล้านบาท
โดยรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 111.56 ล้านบาท จาก 401.50 ล้านบาท เป็น 513.06 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 27.79% เนื่องมาจาก รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 53.67 ล้านบาท กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินเพิ่มขึ้น 47.58 ล้านบาท รายได้ดอกเบี้ยจากเงินฝากในสถาบันการเงินและพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น 7.37 ล้านบาท และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 2.94 ล้านบาท
อีกทั้ง ค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ ลดลง 136.85 ล้านบาท จาก 1,243.97 ล้านบาท เป็น 1,107.12 ล้านบาท หรือลดลง 11% เนื่องมาจาก ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานลดลง 112.40 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายลดลง 26.32 ล้านบาท ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 0.86 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นลดลง 11.94 ล้านบาท ในขณะที่ ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 14.67 ล้านบาท และภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง 17.98 ล้านบาท จาก 112.64 ล้านบาท เป็น 94.66 ล้านบาท หรือลดลง 15.96% เนื่องมาจากการลดลงของกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้
"ผลประกอบการครึ่งปีแรก สอดคล้องกับสภาวะการตลาดในปัจจุบัน กระแสความไม่แน่นอนยังคงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทั้งตลาดหุ้นภายในประเทศและต่างประเทศ ภาพรวมการซื้อขายที่ปรับตัวลดลง สืบเนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 เงินเฟ้อทั่วโลก และความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน
อย่างไรก็ตาม สำหรับโอกาสของการลงทุนในระยะสั้น ยังคงเป็นเรื่องการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์และในภูมิภาค ส่วนในระยะยาวการปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะกับสถานการณ์ บนพื้นฐานของความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวัง
และสำหรับนักลงทุนมือใหม่ การตัดสินใจลงทุนสามารถทำได้ง่ายขึ้นผ่าน Goal Based Investment (GBI) ซึ่งเป็นฟีเจอร์หลักในแอปพลิเคชั่น Maybank Invest ใหม่ของเรา พร้อมจัดพอร์ตให้เติบโตด้วยสินทรัพย์การลงทุนที่หลากหลาย ด้วยการติดตามและปรัพอร์ตการลงทุน โดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจาก เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ผ่าน Maybank Invest App หรือ MBI ซึ่งพร้อมจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้" นายอารภัฏ กล่าว