บมจ.ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ (TPC) คาดว่า รายได้และกำไรในปี 51 จะสูงกว่าปี 50 ตามแนวโน้มราคา PVC ที่เชื่อว่าราคาน่าจะสูงกว่า 1 พันเหรียญ/ตัน รวมทั้งปริมาณการขายที่ตั้งเป้าหมายสูงขึ้นด้วย โดยเห็นได้ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีที่ผลประกอบการน่าจะออกมาดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่บริษัทกำลังเตรียมเงินลงทุนกว่า 5-6 พันล้านบาทเพื่อเข้าร่วมทุนโครงการปิโตรเคมีขนาดใหญ่ในเวียดนามในเครือปูนใหญ่
นายคเนศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ TPC กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายปริมาณขาย PVC ที่ 7.7 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ปริมาณขาย 7.4 แสนตัน ขณะที่คาดว่ารายได้น่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จาก 2.96 หมื่นล้านบาทในปี 50 และกำไรสุทธิจะสูงกว่าปีก่อนที่มีกำไร 2.56 พันล้านบาท
รายได้และกำไรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นนั้นเป็นไปตามปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งคาดว่าราคา PVC จะสูงแตะระดับ 1 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน จากราคาเฉลี่ยในปีก่อนที่อยู่ในระดับ 940 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ทั้งนี้ ยังขึ้นกับค่าเงินบาทที่ปัจจุบันบริษัทได้รับผลกระทบอยู่บ้าง ซึ่งบริษัทประเมินว่าค่าเงินบาทในปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 31 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 33-34 บาท/ดอลลาร์
"ถ้าราคา strong อย่างนี้ คิดว่ากำไรสุทธิน่าจะดีกว่าปีก่อน...ราคา PVC ตอนนี้อยู่ที่ 1,100 เหรียญ/ตัน เราอยากได้ไปถึง 1,200 เหรียญ/ตัน คิดว่าจะทำได้ในช่วงปลายไตรมาส 2 หรือต้นไตรมาส 3" นายคเนศ กล่าว
นายคเนศ กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะปิดโรงงานที่จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อย้ายเครื่องจักรไปที่โรงงานของบริษัทในเวียดนาม คาดว่ากำลังการผลิตของโรงงานใหม่จะเพิ่มเป็น 1.9 แสนตัน/ปี จากเดิมว้ 1 แสนตัน/ปี โดยคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเต็มกำลังผลิตใหม่ในต้นปี 52 ส่วนโรงงานในอินโดนีเซียจะผลิต 1 แสนตัน/ปีในปีนี้ จากกำลังผลิตเต็มที่ 1.2 แสนตัน/ปี
ขณะที่โรงงานในไทยจะมีกำลังการผลิตเพิ่มอีก 1.2 แสนตัน/ปีภายหลังการขยายสายการผลิตที่ 9 ทำให้กำลังผลิตรวมเพิ่มเป็น 5.5 แสนตัน/ปี โดยผลผลิตในประเทศ 50% จะทำการส่งออก ตลาดสำคัญคือ ตะวันออกลาง และตุรกี โดยในปีนี้จะเพิ่มตลาดใหม่ คือ ออสเตรเลีย ที่ได้รับประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าเสรี(FTA)ระหว่างไทยและออสเตรเลีย รวมทั้งจะทดลองส่งออกไปยังอินเดียด้วย
ในไตรมาส 1/51 คาดว่ารายได้และกำไรสุทธิจะดีกว่าไตรมาส 1/50 เนื่องจากราคา PVC เพิ่มมาอยู่ที่ 1,100 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 700-800 เหรียญสหรัฐ/ตัน และคาดว่าในไตรมาส 2/51 ผลประกอบการจะดีต่อเนื่องจากแนวโน้มราคา PVC ที่อยู่ในระดับสูง แต่บริษัทก็จะมีการหยุดซ่อมบำรุงเครื่องจักรของโรงงานในประเทศประจำปีราว 10-20 วัน ซึ่งอาจจะทำให้รายได้ลดลงไปบ้าง แต่เชื่อว่าจะไม่มากนัก
สำหรับการลงทุนในเวียดนาม บริษัทได้ร่วมอยู่ในเครือ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) เพื่อเข้าลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ โดย TPC จะถือหุ้น 18% คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 5-6 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทจะร่วมในส่วนขั้นตอนการผลิต VCM 5 แสนตัน/ปี และ EDC 1 แสนตัน/ปี ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของปิโตรเคมี การก่อสร้างจะใช้เวลา 5 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 55 บริษัทจึงสามารถทยอยลงทุนได้ปีละไม่เกิน 1 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งอาจใช้เงินกู้จากสถาบันการเงิน
นายคเนศ กล่าวว่า ตลาดเวียดนามมีอัตราเติบโตสูง มีปริมาณความต้องการ PVC อยู่ที่ปีละ 2.5 แสนตัน และมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่มีกำลังผลิตในประเทศเพียง 2 แสนตัน/ปี ขณะที่ตลาดอินโดนีเซีย บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 และยังไม่มีแผนขยายการลงทุน เนื่องจากกำลังการผลิตเกินกว่าความต้องการ
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--