นายดนัยเดช เกตุสุวรรณ Chief Financial Officer บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้น่าจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากปริมาณการขายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ยังเติบโตต่อเนื่องทั้งจากการขยายกำลังการผลิตและการควบรวมกิจการ (M&P) ที่จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่การทำ M&P จะดำเนินการอย่างระมัดระวังมากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังคงผันผวน รวมถึงเน้นการบริหารจัดการด้านต้นทุนให้ดีต่อเนื่องเพื่อให้ส่งผลดีต่ออัตราการทำกำไร
ก่อนหน้านี้บริษัทได้ปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้จากการขายรวมเป็น 150,000 ล้านบาท จากเดิม 140,000 บาท เนื่องจากภาพรวมผลงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ออกมาค่อนข้างดี และคาดว่าทิศทางในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทมองว่าเศรษฐกิจของอาเซียนยังเติบโตได้ดี แม้จะมีความท้าทายจากปัจจัยต่างๆ อย่างมากมาย โดยเริ่มเห็นสัญญาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคดีขึ้นจากการขยายตัวของธุรกิจและการท่องเที่ยว ส่วนสถานการณ์ในประเทศจีนในช่วงที่ผ่านมายอมรับว่ามีผลกระทบอย่างมากต่อดีมานด์และซัพพลาย แต่เชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆ ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/65 และไตรมาส 3/65 จะฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ด้านต้นทุนพลังงานและอัตราเงินเฟ้อสูงน่าจะยังคงอยู่ต่อไปในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งบริษัทก็มีการเตรียมความพร้อมรับมือไว้แล้ว ด้วยนโยบายต่างๆ
"ภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนยังไปได้ค่อนข้างดี ทั้งในไทย,อินโดนีเซีย,เวียดนาม และฟิลิปปินส์ หลังการจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภคบริโภคและความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์จากอุตสาหกรรมต่างๆ เริ่มเพิ่มขึ้น รวมถึงปกติในช่วงไตรมาส 3 ของทุกปีบริษัทต่างๆ จะต้องเตรียมความพร้อมผลิตสินค้าไว้เพื่อเตรียมส่งออกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี และคาดว่าการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะฟื้นตัว ส่วนด้านปัญหาต้นทุนมองว่าแนวโน้มกระดาษรีไซเคิลและค่าขนส่งเริ่มมีสัญญาณที่ปรับตัวลดลง แต่ราคาพลังงานอาจยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง" นายดนัยเดช กล่าว
ส่วนการทำดีล M&P ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรหลายราย คาดหวังว่าจะมีการเซ็นสัญญาอย่างน้อย 1-2 ดีลในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่ธุนกิจกลุ่มบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำเป็นหลัก เช่น กล่องผลิตภัณฑ์ลูกฟูกหรือพอลิเมอร์ที่ไปใช้กับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นความต้องการของผู้บริโภคให้มากขึ้น โดยมูลค่าเงินลงทุนสำหรับการทำ M&P ปัจจุบันบริษัทเตรียมไว้ประมาณ 4,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทยืนยันจะพิจารณาการลงทุนด้วยความรอบคอบและเหมาะสม โดยธุรกิจที่ซื้อเข้ามาจะต้องสามารถต่อยอดธุรกิจได้ทันที
บริษัทเตรียมงบลงทุนรวมปีนี้ไว้ประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกใช้ไปแล้วราว 3,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 17,000 ล้านบาท จะแบ่งเป็นการซื้อกิจการใน Peute Recycling B.V. (Peute) มูลค่า 6,500 ล้านบาท, ชำระเงินที่เหลือของ Duytan และใช้ขยายการลงทุนแบบออร์แกนิกในเวียดนามเหนือ รวมถึงใช้ในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ไฟเบอร์ในไทยอีกประมาณ 6,500 ล้านบาท นอกจากนั้นเงินที่เหลืออีก 4,000 ล้านบาทจะใช้สำหรับรองรับดีล M&P