CONSENSUS: โบรกฯเชียร์ซื้อ HMPRO คาดกำไร Q3/65 โตเด่นหลังยอดขาย ก.ค.พุ่ง-รวมเมก้าโฮมหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 9, 2022 13:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์เห็นพ้องแนะ "ซื้อ" หุ้น บมจ.โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) มองแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3/65 เติบโตเด่นจากฐานต่ำในไตรมาส 3/64 หลังจากยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในเดือน ก.ค.65 ขยายตัว 15-17% และคาดกำไรสุทธิปีนี้จะดีกว่าก่อนเกิดโควิด (ปี 62) โดยยอดขายในครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก แรงหนุนจากเศรษฐกิจฟื้นตัว การท่องเที่ยวกลับมาดีขึ้น รวมถึงการจัดอีเว้นท์ต่างๆ

นอกจากนี้ บริษัทยังมีการเปิดสาขาใหม่โฮมโปร 2 สาขา เมก้าโฮม 5 สาขาในปีนี้ พร้อมการปรับโครงสร้างนำเมก้าโฮมมารวมกับโฮมโปรช่วยต่อยอดทำ cross selling ด้วยกัน และการเพิ่มสัดส่วน house brand ดันอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิปีนี้อยู่ที่ 5.9-6.45 พันลบ. เติบโต 8.5-19% จากปีก่อน

ราคาหุ้น HMPRO ปิดเที่ยงอยู่ที่ 13.70 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ดัชนี SET บวก 0.54%

          โบรกเกอร์           คำแนะนำ          ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น
          เคทีบีเอสที            ซื้อ                18.50
          ฟินันเซีย ไซรัส         ซื้อ                18.30
          โนมูระ พัฒนสิน         ซื้อ                18.20
          ไทยพาณิชย์           Outperform         18.00
          แลนด์แอนด์เฮ้าส์        ซื้อ                18.00
          ดีบีเอสวิคเคอร์ส        ซื้อ                17.80
          บัวหลวง              ซื้อ                17.50
          เคจีไอ               ซื้อ                17.50
          เอเซีย พลัส           ซื้อ                17.20
          ฟิลลิป                ซื้อ                17.00
          พาย                 ซื้อ                17.00
          เมย์แบงก์ กิมเอ็ง       ซื้อ                16.80
          ทรีนีตี้                ซื้อ                16.30
          ยูโอบี เคย์เฮียน        ซื้อ                16.00
          ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี       ซื้อ                15.00
          หยวนต้า             Trading buy        15.00
          ทิสโก้                ซื้อ                14.70

นางสาววิชชุดา ปลั่งมณี ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3/65 น่าจะเป็นบวกเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/64 (YoY) ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ติดลบ 11% จากผลการล็อกดาวน์โดยเฉพาะสาขาในกรุงเทพ-ปริมณฑล โดยมีกำไรเพียง 800 กว่าล้านบาท

แต่ในสปีนี้ เดือน ก.ค.ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) บวกมาถึง 15-17% ได้รับจากการจัดโปรโมชั่นและอีเว้นท์ Homepro Super Expo ช่วงวันที่ 17-31 ก.ค.และบริษัทยังมีงานจัดงานอีเว้นท์เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงไตรมาส 3 ที่เป็นช่วง low season รวมทั้งคาดว่าในไตรมาส 4 ยอดขายน่าจะเร่งตัวขึ้นได้ต่อเนื่องจากฤดูกาลท่องเที่ยว การจัดอีเว้นท์ต่างๆ ที่มีมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการ ร้านอาหาร โรงแรม ต้องซ่อมแซมปรับปรุงสถานที่

นอกจากนี้ บริษัทจะเปิดสาขา Mega Home 5 สาขาในปีนี้ ซึ่งเป็นร้านขายวัสดุก่อสร้าง สามารถหนุนยอดขายโฮมโปรไปด้วยกัน นอกเหนือจากสินค้าแล้วก็ยังมีการบริการต่าง ๆ ที่หนุนซึ่งกันและกันด้วย รวมทั้งผลักดันสินค้า house brand มากขึ้นทำให้อัตรากำไรได้สูงขึ้น

ทั้งนี้ คาด HMPRO ในปีนี้จะมีกำไรสุทธิ 5,900 ล้านบาท เติบโต 8.5% จากปีก่อน ส่วนราคาหุ้นปรับขึ้นไปบ้างแล้วจึงแนะนำเพียง "เก็งกำไร"

ขณะที่ บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผู้บริหาร HMPRO คงเป้าปี 65 เดิม โดยเชื่อมั่นว่ากำไรปีนี้จะกลับมาสูงกว่าช่วงก่อนโควิด (ปี 62) ที่มีกำไร 6.2 พันล้านบาทได้ โดยให้น้ำหนักโมเมนตั้มครึ่งหลังของปี 65 จะดีกว่าครึ่งปีแรก ตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ได้แรงหนุนมาจากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก

HMPRO ยังคงคาดยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ทั้งปี +5 ถึง +7% (vs ครึ่งปีแรก ที่ +1%) โดยไตรมาส 3/65 คาดฟื้นเด่นจากฐานต่ำในไตรมาส 3/64 ที่มีการล็อกดาวน์เกือบ 2 เดือนทั้งไทยและมาเลเซีย , อัตรากำไรขั้นต้นจะปรับขึ้นได้ +30-50bps (vs ครึ่งปีแรก +40bps) ตาม Product margin และสัดส่วนสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ที่จะขึ้นเป็น 20.5% จาก 19.5% ในปี 64 และ รายได้ค่าเช่าจะโตขึ้น +10-15% ตามส่วนลดค่าเช่าที่ลดลงและการคลายล็อกดาวน์พื้นที่ให้บริการ โดยที่มีเพียง SG&A/sales ที่อาจจะสูงกว่าเป้าที่คาดแค่ทรงตัว 19.7% (vs ครึ่งปีแรก 19.4%) เนื่องจากมีแรงกดดันจากต้นทุนพลังงาน

นอกจากนี้ บริษัทคงแผนขยายสาขารวม 7 แห่งภายใต้งบลงทุนรวม 6 พันล้านบาทในปีนี้ แบ่งเป็น 2 สาขาโฮมโปร (มี 1 แห่งเป็นย้ายที่ตั้งสาขา) และ 5 สาขาเมก้าโฮม โดยตามแผนไตรมาส 3/65 จะเปิด 1 ร้านโฮมโปร (relocation จากสาขาในฟิวเจอร์รังสิตมาเป็น Standalone) และ 2 ร้านเมก้าโฮม (พัทยา,ฉะเชิงเทรา) ส่วนที่เหลือคาดจะเปิดในไตรมาส 4/65

บริษัทแจ้งรวมกิจการเมก้าโฮมเข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทเดียวกับโฮมโปรตั้งแต่ต้น ก.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผู้บริหารคาดหวังประโยชน์การปรับโครงสร้างครั้งนี้จะทำให้บริหารงานคล่องตัวมากขึ้นในหลายส่วน เช่น การต่อยอดทำ cross selling ง่ายขึ้นโดยการนำ สินค้าร้านเมก้าโฮมไปขายในร้านโฮมโปร หรือนำสินค้าโฮมโปรไปขายในร้านเมก้าโฮม, การปรับการขายออนไลน์อยู่ภายใต้ platform เดียว หรือ การเพิ่มอำนาจต่อรองการซื้อสินค้ามีมากขึ้นจากเดิมที่บางสินค้าต้องซื้อแยกกัน อย่างไรก็ดี บริษัทมองว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมินมูลค่าประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น โดยให้น้ำหนักเกิดชึ้นชัดเจนในปีหน้า

ส่วนแรงกดดันจากต้นทุนพลังงานแม้มีสูงแต่ยังอยู่ในระดับยอมรับได้ โดยผู้บริหารประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ทรงตัวสูงจะกระทบ 2 ส่วน คือ ค่าขนส่ง (2%ของรายได้) และค่าไฟ (1%ของรายได้) แต่ก็อยู่ในระดับที่ยอมรับและจัดการได้ โดยหากเป็นค่าขนส่งมากกว่าครึ่ง (ส่วนใหญ่เป็นการขนส่งจาก DC ไปตามสาขา สามารถผลักภาระต่อได้ ส่วนค่าไฟจัดการโดยพยายามติดตั้ง solar rooftop มากขึ้น โดยอยู่ระหว่างเตรียมแผน

SSSG update ก.ค.ปรับขึ้นเด่นทุก format เพราะอานิสงส์ฐานต่ำในช่วงกลางก.ค.-ส.ค.ปีก่อน ผสานกับการท่องเที่ยวฟื้นตัว โดยร้านโฮมโปร (83% ของยอดขาย) มี SSSG พลิกกลับมาเป็นบวกมากกว่า +10% (vs ไตรมาส 2/65 -1.1%), ร้านเมก้าโฮม (12-13% ของยอดขาย) พลิกกลับบวกเช่นกัน +5% จากไตรมาส 2/65 -5% ถึง -6% และ สาขาในมาเลเซีย (2-3% ของยอดขย) มี SSSG ทรงตัวสูง +60-65% ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/65 ทั้งนี้ หากเทียบยอดขายรวม ก.ค.ก็ดูดีขึ้น m-m ด้วย

โนมูระ ฯมีมุมมอง Neutral ต่อข้อมูล เพราะทิศทางการดำเนินงานยังใกล้เคียงกับที่คาดไว้ โดยเรายังคงเปิดสาขาและ SSSG ปีนี้ที่ +5 แห่ง และ +4% ตามลำดับ ต่ำกว่าเป้าของบริษัทเล็กน้อย แต่คาดไม่มีนัยสำคัญ เพราะสาขาที่เปิดส่วนใหญ่จะอยู่ช่วงปลายปียังสร้างยอดขายไม่เต็มที่มากนัก ดังนั้น จึงยังคงประมาณการรายได้และกำไรสุทธิปี 65 ที่ 6.5 หมื่นลบ. (+7%y-y) และ 6.45 พันลบ. (+19%y-y) ตามลำดับ

ส่วนบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ถึงแม้ว่า SSSG ของ HMPRO จะติดลบ (-1.1%) ในไตรมาส 2/65 เนื่องจากฤดูฝนปีนี้มาเร็ว แต่ SSSG ในเดือน ก.ค.65 ยังอยู่ในระดับสองหลักจากฐานต่ำในไตรมาส 3/64 ที่มีการใช้มาตรการ lockdown ทำให้ต้องปิดบริการชั่วคราวไปเกือบ 30 สาขา (~30% ของจำนวนสาขาทั้งหมดในประเทศไทย)

แต่ถึงแม้จะไม่รวมผลกระทบจากการปิดสาขาร้านชั่วคราว โมเมนตัมยอดขายยังคงเป็นบวกอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทำเลที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ดังนั้น เราจึงคาดว่า SSSG ของ HMPRO ในไตรมาส 3/65 น่าจะพลิกเป็นบวกได้ และทำให้ SSSG ปีนี้เป็นไปตามสมมติฐานของเราที่ +5.0% และยังคงคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นถึง 30bps

HMPRO ยังตั้งเป้าจะเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นปีละประมาณ 30bps ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ของเรา (26.1%) โดยจะเป็นผลมาจากการใช้กลยุทธ์ house brand ของบริษัท ซึ่งสัดส่วนยอดขายสินค้า house brand เพิ่มขึ้นเป็น 20.5% ของยอดขายรวมในครึ่งแรกปี 65 จาก 19.5% ในปี 64 (HMPRO ตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายสินค้า house brand ที่ 20-20.5% ในปี 65) ในขณะเดียวกัน ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อย่างเช่น ค่าสาธารณูปโภค (ประมาณ 1-2% ของยอดขาย) และ logistics (ประมาณ 2% ของยอดขาย) อาจจะส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรบ้าง แต่จะยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้

กำไรในปี 65 คาดว่าจะกลับไปอยู่ระดับก่อนโควิด-19 ระบาด เนื่องจากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทกำลังฟื้นตัว ผู้บริหารจึงคาดว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะกลับไปอยู่ระดับก่อนโควิด เรายังคงประมาณการกำไรไว้เท่าเดิม โดยคาดว่ากำไรปีนี้จะเพิ่มขึ้น 17% และปี 66 จะเพิ่มขึ้น 15%

คงคำแนะนำ "ซื้อ" หุ้น HMPRO และคงราคาเป้าหมายสิ้นปี 65 เอาไว้ที่ 17.50 บาท อิงจาก PER เท่าเดิมที่ 36.0x (ค่าเฉลี่ยของ Siam Global House (GLOBAL.BK/GLOBAL TB)* และ HMPRO +1.0 S.D.)


แท็ก (HMPRO)   โฮมโปร  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ