นายทิพย์ ดาลาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ (III) คาดผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะโตได้ต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก โดยจะเริ่มเข้าช่วงไฮซีซั่นของการขนส่งตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/65 หนุนความความต้องการการขนส่งให้ปรับตัวสูงขึ้นทั้งการนำเข้าและส่งออกสินค้ารวมไปถึงธุรกิจโลจิสติกส์ที่เกี่ยวเนื่องเพิ่มมากขึ้นสอดคล้องกับข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่าการส่งออกของไทยในครึ่งปีหลังยังขยายตัวได้ดี จากความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารในตลาดโลกเพิ่มขึ้น และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังเติบโตตามการขยายตัวของภาคการผลิตโลก
แต่อย่างไรก็ตามยังต้องยังต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดระหว่างจีน ไต้หวัน และ สหรัฐ รวมไปถึงภาวะสงครามระหว่างยูเครน และ รัสเซีย ที่อาจจะเข้ามากระทบต่อราคาพลังงานได้เพิ่มเติม นอกจากนี้ยังอาจจะมีความเสี่ยงด้านการชะลอตัวของการบริโภคจากภาวะเงินเฟ้อโลกที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออำนาจซื้อของผู้บริโภคทั่วโลกด้วย
"แม้ว่าแรงกดดันด้านต้นทุนพลังงาน สงคราม การเมือง และ เงินเฟ้อ จะคลี่คลายไปบ้างแล้วก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หากกลับมาอีกก็จะเป็นผลกระทบได้เพิ่มเติมอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 3/65 เริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจจะเป็นปัจจัยหนุนให้ความต้องการขนส่งเพิ่มขึ้นทั้ง ทั้งธุรกิจขนส่งทางอากาศ (Airfreight) กลุ่มธุรกิจการบริหารจัดการโลจิสติกส์ ธุรกิจขนส่งทางเรือ (Seafreight) และธุรกิจโลจิสติกส์สำหรับสินค้าอันตราย และเคมีภัณฑ์ (Chemical)"นายทิพย์ กล่าว
สำหรับธุรกิจขนส่งทางอากาศ (Airfreight) จะเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 3/65 หลังจากสายการบินต่างๆจะมีการเพิ่มเที่ยวบิน ทำให้มีพื้นที่ระวางเพิ่มมากขึ้น และการให้บริการคลังสินค้าเร่งด่วน (Express cargo) ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ที่เริ่มให้บริการแล้วในปลายไตรมาส 2/65 และจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มที่ในไตรมาส 3/65 ส่วนด้านบริการขนส่ง Cargo Cross Border ในลักษณะ Truck to Air จะเพิ่มเที่ยวขนส่งจากประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อส่งออกไปยังเส้นทางยุโรป และสหรัฐมากขึ้น
ด้านธุรกิจขนส่งทางเรือ (Seafreight) ได้เริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นเช่นกัน แม้ว่าค่าบริการการขนส่งจะปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามยังถือว่าสูงกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นอกจากนี้บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด (AOTGA) ผู้ให้บริการภาคพื้นอากาศยาน และผู้โดยสารในท่าอากาศยานภูเก็ต ยังมีส่วนแบ่งที่ดีขึ้น หลัง 6 เดือนแรกสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ ตามการเปิดประเทศ จากเดิมที่แบกรับภาระขาดทุนมาเกือบ 2 ปีในช่วงโควิด-19 เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปี 65 และปีถัดไปจะสร้างผลตอบแทนมากขึ้นต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีแผนขยายการให้บริการในท่าอากาศยาอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งบริการคลังสินค้า และนอกจากบริการคลังสินค้า ซึ่ง ล่าสุด ก็ได้เริ่มให้บริการทำความสะอาดภายในท่าอากาศยานที่อยู่ในความดูแลของ AOT ทั้งหมด 6 แห่ง เป็นต้น
ขณะที่การขนส่งทางราง คาดว่าครึ่งปีหลังจะมีงานด้านระบบรางมากขึ้น จากปัจจุบันอยู่ระหว่างทำระบบหลังบ้านให้พร้อมต่อการให้บริการในเรื่องระเบียบการขนส่งผ่านด่านต่างๆ ซึ่งบริษัทคาดว่า จะเริ่มให้บริการได้อย่างเต็มรูปแบบที่จะเชื่อมเส้นทางการขนส่งไทย จีน และ สปป.ลาว ในช่วงปลายปี 65 หลังจากได้เริ่มให้บริการการขนส่งทางรางในประเทศไปแล้ว
ส่วนธุรกิจด้านโลจิสติกส์สำหรับสินค้าอันตรายและเคมีภัณฑ์ ยังคงสร้างการเติบโตได้ดีต่อ เบื้องต้นบริษัทมีแผนเพิ่มพื้นที่คลังสินค้าอีก 2,000 ตารางเมตร จากเดิม 30,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับลูกค้ารายใหม่ที่จะเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการในปลายไตรมาส 3/65 นี้ พร้อมศึกษาคลังสินค้าแบบ Build to suit เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และลดต้นทุน อีกทั้งในส่วนของบริษัท DG Packaging Pte. Ltd. (DGP)จะเริ่มให้บริการจำหน่ายกล่องสินค้าแบบออนไลน์เพื่อเป็นอีกช่องทางเลือกแก่ลูกค้าในไตรมาส 4/65
บริษัท เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (ANI) ที่บริษัทถือหุ้น 50.4% ซึ่งเป็นตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบินในภูมิภาคเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คาดว่าภายในไตรมาส 3/65 หรือต้นไตรมาส 4/65 จะสามารถยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นได้ในช่วงต้นปี 66 ซึ่งในอนาคตอาจพิจารณาเข้าไปเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นอีกด้วย
นายทิพย์ เปิดเผยอีกว่า ในช่วงที่เหลือของปี 65 และ ในปี 66 บริษัทจะเน้นผลักดันการร่วมมือทางธุรกิจ (JV) หรือ ซื้อกิจการ (M&A) ให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยเฉพาะในส่วนของการขนส่งทางราง ที่หลังจากก่อนหน้านี้ได้เซ็นสัญญาร่วมมือทางธุรกิจกับผู้นำด้านโลจิสติกส์อันดับ 1 ของ สปป.ลาว และ จะทยอยเซ็นสัญญาร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรในประเทศจีนให้ได้มณฑลละ 1-2 ราย ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการสำเร็จไปหลายรายแล้ว
โดยภาพรวมทั้งปีบริษัทยังคงมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่ต่ำกว่า 30% และคาดว่าจะมีกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ หลัง6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิแล้ว 231 ล้านบาท เติบโต 42.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีรายได้จากการขายและให้บริการ 1,466 ล้านบาท เติบโต 15.1% จากการเติบโตในทุกๆธุรกิจ