นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีเค พาวเวอร์ (CKP) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของปี 65 ถือเป็นที่น่าพอใจและเติบโตเป็นไปตามที่บริษัทประเมินไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนในไตรมาส 3/65 บริษัทฯ คาดว่าผลการดำเนินงานจะมีแนวโน้มดีกว่าปีก่อน โดยจากการประเมินแนวโน้มของสถานการณ์น้ำของ XPCL ในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อเนื่อง และขณะเดียวกัน รายได้จากลูกค้าอุตสาหกรรมของ BIC มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับต้นทุนเชื้อเพลิงมากขึ้นจากการปรับเพิ่มค่า Ft ของภาครัฐตั้งแต่เดือนพ.ค.อีกด้วย
"CKPower ยังคงเดินหน้าเต็มที่ในการพัฒนาและลงทุนโครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อองค์กรและสังคม (Sustainability) บริหารจัดการธุรกิจโดยยึดหลัก ESG ที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม (Environment) ควบคู่กับการพัฒนาสังคม (Social) ยึดหลักธรรมาภิบาล (Governance) โดยล่าสุด XPCL ซึ่งเป็นบริษัทร่วมของ CKPower ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในการออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) ครั้งที่ 1/2565 ให้แก่นักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดขายรวม 8,395 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดเสนอขาย 5,000 ล้านบาท และยอดเสนอขายเพิ่มเติมเนื่องจากความต้องการของนักลงทุนมากกว่าที่เสนอขายอีก 3,395 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเครื่องยืนยันถึงมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของ XPCL ได้เป็นอย่างดี" นายธนวัฒน์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทในเครือในไตรมาสที่ 2/65 เติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปีนี้ สร้างผลกำไรเป็นที่น่าพอใจ โดยในไตรมาส 2 มีรายได้รวม 2,659 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 364 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ที่มีรายได้รวม 2,295 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท อยู่ที่ 864 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% หรือ 157 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 707 ล้านบาท
ปัจจัยบวกมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น 248 ล้านบาท จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ซึ่งบริหารโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ในสปป.ลาว โดย XPCL มีกำไรเพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ เติบโตต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 5,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 806 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 64 ที่มีรายได้รวม 4,396 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท อยู่ที่ 903 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% หรือ 81 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 822 ล้านบาท โดยมีปัจจัยบวกมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น 278 ล้านบาท ซึ่งมาจาก XPCL ที่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน