โบรกเกอร์ ต่างเชียร์ "ซื้อ" หุ้น บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) มองผลประกอบการไตรมาส 2/65 ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ก่อนคาดผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัว เนื่องจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการส่งมอบสินค้า และ ปัญหาการส่งสินค้าในประเทศจีนที่คลี่คลายลงหลังเริ่มคลายมาตรการ Lockdown ในขณะเดียวกันราคาตู้คอนเทนเนอร์ลดลงไป 20-30% แต่อย่างไรก็ตามราคาขายที่ปิดการขายไปช่วงก่อนหน้านี้มีส่วนบวกเพิ่มจากราคาตู้ไปแล้ว และไม่ได้มีการปรับลงในการส่งมอบด้วย
นอกจากนี้มีโอกาสได้รับรู้คำสั่งซื้อเพิ่มหลังทางบริดจสโตนมีการย้ายโรงงานผลิตล้อเครื่องบินมายังประเทศไทย ในขณะเดียวกันผู้ผลิตล้อยางรวมถึงผู้ผลิตรถยนต์มีแนวโน้มที่จะมาตั้งโรงงานในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อประโยชน์ด้าน Supply chain อีกทั้งธุรกิจแผ่นปูนอนวัวยังเป็นตัวเร่งหลักในการเติบโตในอนาคตด้วย
ราคาหุ้น NER ปิดเที่ยงอยู่ที่ 5.85 บาท ลดลง 0.05 บาท (-0.85%) ขณะที่ SET บวก 0.35%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 10.50 เคทีบีเอสที ซื้อ 9.00 พาย ซื้อ 9.10 เอเซีย พลัส ซื้อ 10.20 ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ซื้อ 7.50 นายธีร์ธนัตถ์ จินดารัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า มองผลประกอบการไตรมาส 2/65 ของ NER ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นค่อนข้างแรงในช่วงไตรมาส 3/65 เนื่องจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการส่งมอบสินค้า และ ปัญหาการส่งสินค้าในประเทศจีนที่คลี่คลายลงหลังเริ่มคลายมาตรการ Lockdown ในขณะเดียวกันราคาตู้คอนเทนเนอร์ลดลงไป 20-30% แต่อย่างไรก็ตามราคาขายที่ปิดการขายไปช่วงก่อนหน้านี้มีส่วนบวกเพิ่มจากราคาตู้ไปแล้ว และไม่ได้มีการปรับลงในการส่งมอบด้วย ขณะที่ช่วงไตรมาส 4/65 ยังคงต้องลุ้นว่าจะสามารถทำผลประกอบการออกมาทำสถิติสูงสุดใหม่ได้หรือไม่ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากราคาขายที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ประกอบกับความต้องการที่สูงอยู่ในตลาดปัจจุบันด้วย "เรามองว่าผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และ ราคานี้ถือว่าได้สะท้อนผลประกอบการไตรมาส 2/65 ไปแล้ว หลังจากที่สถานการณ์ต่างๆในประเทศจีนได้เริ่มคลี่คลาย และ เริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการส่งมอบ โดยแนะนำลงทุนได้เต็มที่เมื่องบไตรมาส 2/65 ออกไปแล้วเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา"นายธีร์ธนัตถ์ กล่าว บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการปริมาณการขายที่ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง หลังจากประเทศจีนเริ่มกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง จากไตรมาส 2/65 ที่ผ่านมาบริษัทได้แจ้งว่าต้องเลื่อนรับรู้รายได้บางส่วนออกไปยังไตรมาส 3/65 ในขณะเดียวกันยังมีศักยภาพการเติบโตในอนาคตจากกำลังการผลิตของบริษัทที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และผู้ผลิตล้อยางรวมถึงผู้ผลิตรถยนต์มีแนวโน้มที่จะมาตั้งโรงงานในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อประโยชน์ด้าน Supply chain อีกทั้งธุรกิจแผ่นปูนอนวัวยังเป็นตัวเร่งหลักในการเติบโตในอนาคต ด้าน บล.พาย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก ส่งผลให้อัตราเงินปันผลของบริษัทสูงถึง 7-8% แล้ว และมีการซื้อขายที่ระดับ PER เพียง 5 เท่า โดยคาดหวังว่าผลประกอบการจะสามารถฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลังจากการคลายล๊อคดาวน์ของจีน ด้วยแนวโน้มความต้องการยางจากจีนที่ยังมีอยู่มาก เห็นได้จากยอดผลิตรถยนต์เดือน มิ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง และมีโอกาสได้รับรู้คำสั่งซื้อเพิ่มหลังทางบริดจสโตนมีการย้ายโรงงานผลิตล้อเครื่องบินมายังประเทศไทย