นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดขายในปี 65 คาดว่าจะทำได้ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2.8 หมื่นล้านบาท หลังจากยอดขายครึ่งปีแรกทำได้เกินกว่าเป้าหมายไปที่ 1.82 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 65% ของเป้าหมายทั้งปี ขณะที่แนวโน้มการขายยังเห็นทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนที่ยังสามารถสร้างยอดขายเข้ามาอย่างมาก เนื่องจากความต้องการของลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยและเข้าอยู่ได้ทันทียังมีสูงต่อเนื่องเห็นได้จากยอดการเยี่ยมชมโครงการที่พร้อมอยู่ยังสูง ทำให้ยอดขายยังเห็นการเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และคาดว่าในครึ่งปีหลังนี้จะทำยอดขายได้มากกว่าครึ่งปีแรก
ขณะเดียวกันบริษัทยังวางแผนเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 21 โครงการ มูลค่า 1.92 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นแนวราบ เพราะแนวโน้มความต้องการยังมีอยู่มาก และได้รับความนิยมจากผู้ซื้อ ขณะที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดระดับกลางและตลาดบนที่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ แม้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้น แต่ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ หรือแม้หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระยะต่อไปคาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะเพิ่มขึ้นไม่มาก และลูกค้ายังคงรับภาระดอกเบี้ยได้
ด้านกำลังซื้อยังมองว่าเห็นการฟื้นตัวมาต่อเนื่อง หลังจากเริ่มมีการเปิดเมืองและเปิดประเทศ ทำให้คนมีรายได้เข้ามามากขึ้น แม้จะมีปัญหาเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้น แต่คาดว่าจะมีผลกระทบในระยะสั้น เพราะปัจจุบันเริ่มเห็นราคาพลังงานและราคาสินค้าบางรายการปรับตัวลงไปบ้างแล้ว ในส่วนของราคาบ้านของ SPALI ยังคงราคาไว้เท่าเดิม แต่อาจจะปรับขึ้นตามต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้นในปีหน้าเป็นต้นไป ซึ่งมองว่าสำหรับลูกค้าที่มีความพร้อมในการซื้อที่อยู่อาศัยปีนี้ยังเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อที่อยู่อาศัย
สำหรับยอดโอนของบริษัทในปี 65 คาดว่าจะทำได้ทะลุเป้าที่ตั้งไว้ 2.9 หมื่นล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกทำยอดโอนไปได้แล้ว 1.8 หมื่นล้านบาท โดยที่ในช่วงครึ่งปีหลังจะมีโครงการใหม่เตรียมโอนในไตรมาส 3/65 จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการ Supalai City Resort Charan 91 มูลค่า 2.1 พันล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50%
อีกทั้งยังคงมีการโอนโครงการที่พร้อมอยู่และโครงการแนวราบใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยที่มีโครงการพร้อมอยู่เหลือขายมูลค่ารวมราว 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 1.5 หมื่นล้านบาท และแนวราบ 5 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทจะมีการทยอยขายเพื่อสร้างรายได้เข้ามาต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 2.79 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนในช่วงครึ่งปีหลังกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท เข้ามาหนุนรายได้
อย่างไรก็ตามปัจจัยที่บรษัทยังมีความกังวลอยู่บ้างในเรื่องของปัญหาขาดแคลนแรงงานที่อาจจะมีผลกระทบต่อการก่อสร้างและโอนโครงการอยู่บ้าง เนื่องจากปัจจุบันมีเพิ่งเป็นช่วงที่เริ่มกลับมาเปิดเมืองและเปิดประเทศ ทำให้การจัดการคนในภาคการก่อสร้างยังอยู่ระหว่างการปรับตัวในการหาแรงงานมาเพื่อความพร้อม อีกทั้งแรงงานบางส่วนได้มีการเปลี่ยนงานไปภาคบริการที่เป็นภาคท่องเที่ยวมากขึ้น หลังจากมีการเปิดประเทศ ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยวมีการดึงแรงงานบางส่วนไป ซึ่งปัจจัยด้านแรงงานบริษัทยังคงมีการปรับตัวและพูดคุยกับผู้รับเหมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การก่อสร้างเป็นไปตามแผนงานที่บริษัทวางไว้ และสามารถโอนให้กับลูกค้าได้ตามกำหนด
ส่วนการลงทุนในออสเตรเลียยังคงมีการลงทุนร่วมกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้กลุ่ม Mirvac บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ หนึ่งในสามของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนในโครงการ Smiths Lane บริเวณ Clyde North ด้านทิศตะวันออกของเมืองเมลเบิร์น รัฐวิคตอเรีย การลงทุนในโครงการนี้จะเป็นการถือหุ้นฝ่ายละ 50% ระหว่างกลุ่มศุภาลัยกับกลุ่ม Mirvac ในการนี้ศุภาลัยใช้เงินลงทุน 154 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือราว 3.82 พันล้านบาท ในการลงทุนโครงการลำดับที่ 12 ของการลงทุนในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดที่เคยมีมา และโครงการนี้จะทำให้กำไรจากออสเตรเลียมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 25% ภายในปี 69 ซึ่งปัจจุบันโครงการที่ขายในออสเตรเลียที่ร่วมกับพันธมิตรรายอื่นยังเป็นปัจจัยที่หนุนกำไรของบริษัทได้อย่างดี แม้ว่าจะมีสัดส่วนไม่มากก็ตาม