นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) เปิดเผยว่า คาดผลประกอบการครึ่งปีหลังจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ส่งผลให้มีปริมาณออเดอร์ทั้งในประเทศและส่งออกเฟอร์นิเจอร์ปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทมุ่งเน้นขยายตลาดในประเทศซึ่งตลอดช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมายังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี
สำหรับตลาดต่างประเทศมีแนวโน้มดีต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของลูกค้าจากอินเดีย และตะวันออกกลาง รวมถึงปัจจัยจากการพัฒนาสินค้าใหม่ร่วมกันกับลูกค้าซึ่งเริ่มกลับมาจัดการได้อีกครั้งภายหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายซึ่งจะช่วยให้ออเดอร์สินค้าใหม่เริ่มเข้าตั้งแต่ไตรมาส 4/65 เป็นต้นไป ประกอบกับช่วงครึ่งปีหลังคือช่วงไฮซีซั่นของฤดูกาลขาย ทั้งนี้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้ตามเป้าหมายที่ 10 - 12%
ขณะที่ปี 66 บริษัทมีแผนกระตุ้นยอดขายผ่านช่องทางจำหน่ายใหม่ ได้แก่ แพลทฟอร์มออนไลน์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาเอง โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการจำหน่ายผ่านช่องทางดังกล่าวได้ในภายในปี 66 ซึ่งถือเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในประเทศ รวมถึงสร้างความหลากหลายของช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับบริษัท
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ส่งออก 55 % และจำหน่ายภายในประเทศ 45 % ของรายได้จากการขายทั้งหมด
ด้านธุรกิจพลังงานทดแทน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 220 เมกะวัตต์ เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ ปัจจุบันรับรู้รายได้เฟสที่ 1 จำนวน 50 เมกะวัตต์ แล้ว สำหรับเฟส 2 3 และ 4 ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยดำเนินการอย่างต่อเนื่องแม้จะมีสัญญาณความล่าช้าเกิดขึ้นบ้างจากสถานการณ์โควิด-19 และการเมืองภายในเมียนมาร์ โดยคาดว่าการก่อสร้างจะเสร็จสิ้นครบทั้งสี่เฟสภายในปี 66
ส่วนผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 65 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวม 772.82 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 813.89 ล้านบาท จำนวน 41.06 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.05 % และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหม่ 22.09 ล้านบาท
ขณะที่ ผลประกอบการไตรมาส 2/65 บริษัทมีรายได้รวม 352.26 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 400.07 ล้านบาท จำนวน 47.82 ล้านบาท หรือ 11.95% และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท 9.83 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 15.77 ล้านบาท จำนวน 5.94 ล้านบาท
สาเหตุกำไรที่ลดลงมาจากยอดส่งออกที่ลดลงในช่วงไตรมาส 2 เนื่องมาจากฤดูกาลขายของลูกค้าในประเทศญี่ปุ่นที่ชะลอการสั่งซื้อ สถานการณ์ในสหรัฐอเมริกา และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่มีปัจจัยบวกในขณะนี้ อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วรายได้จากการขายในช่วงไตรมาสที่ 2 ของทุกปีจะเป็นช่วงที่มียอดขายต่ำสุด