บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) หรือ ซีพีเอฟรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/65 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 4.21 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.51 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.74 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.57 บาท
บริษัทชี้แจงว่า ยอดขายประจำไตรมาส 2/65 นี้จำนวน 155,996 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยกิจการประเทศไทยมีรายได้จากการขาย 50,980 ล้านบาท (คิดเป็น 33% ของรายได้จากการขายรวม) เพิ่มขึ้น 17% และในส่วนของกิจการต่างประเทศ มีรายได้จากการขายจำนวน 105,016 ล้านบาท (คิดเป็น 67% ของรายได้จากการขายรวม) เพิ่มขึ้น 22% โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น และความต้องการบริโภคดีขึ้นจากการผ่อนคลายของมาตรการการป้องกันโควิดในประเทศต่าง ๆ
กำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 22,624 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนลดลง 1,546 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักมาจากผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมในประเทศจีนที่ได้รับผลกระทบจากราคาสุกรที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับสูงขึ้น จึงเป็นผลให้กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 4,208 ล้านบาท ลดลง 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลจากมาตรการด้านโควิดที่ผ่อนคลายลงในหลายประเทศ และระดับราคาสุกรในประเทศจีนได้ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา รวมถึงผลจากการให้ความสำคัญด้านประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อให้มีต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้มาโดยตลอด บริษัทจึงคาดว่าผลการดำเนินงานในครึ่งหลังของปีนี้มีแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่นต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และมองว่าผลจากการให้ความสำคัญด้านประสิทธิภาพการดำเนินงานและการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานในปีต่อ ๆ ไปสามารถเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง