นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ (STI) กล่าวว่า กลุ่มบริษัทมีงานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นแตะระดับ 4,200 ล้านบาทแล้วในขณะนี้ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 3-4 ปีจากนี้ และมองครึ่งปีหลังจะเข้ารับงานเพิ่มเติมอีก
สำหรับงานใหม่ที่เข้ามาเพิ่มเติมในไตรมาส 2/65 ของกลุ่ม STI ยังถือได้ว่าเป็นการสะท้อนภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างที่กลับมาคึกคัก ด้วยความเชี่ยวชาญและความแข็งแกร่งในฐานะที่ปรึกษาบริหารควบคุมโครงการ ทำให้ได้รับความไว้วางใจให้เข้าไปดูแลงานโปรเจกต์ขนาดใหญ่ และงานโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง มูลค่าควบคุมงานกว่า 400 ล้านบาท รถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล วงเงินลงทุนโครงการกว่า 48,386 ล้านบาท และโครงการทางหลวงพิเศษ ที่จะเข้ามาสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มบริษัทฯ ให้แข็งแกร่ง
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/65 และงวดครึ่งปีแรก กลุ่ม STI เดินหน้าประมูลงานใหม่ต่อเนื่อง รับภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างฟื้นตัว และการทยอยเปิดประมูลงานเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่ รวมทั้ง การทยอยส่งมอบงาน และการบริหารจัดการภายใต้สถานการณ์โควิดที่รัดกุม ส่งผลให้ฐานะการเงินของบริษัทแข็งแกร่ง ทั้งในด้านสภาพคล่อง ภาระหนี้สินต่อทุน และยังคงรักษาอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นในระดับสูงต่อเนื่อง โดยมีผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) ทำได้ในระดับ18.3%
ในไตรมาส 2/65 STI มีรายได้จากการให้บริการ 418.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.2 ล้านบาท หรือ 2.0 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง 342.6 ล้านบาท และธุรกิจออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมและธุรกิจอื่น 76.3 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากงานโครงการเริ่มทยอยกลับมาเดินหน้าต่อในไตรมาสนี้ และสามารถส่งมอบงานได้มากขึ้น โดยมีบริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด หรือ AEC (บริษัทย่อย) เสริมความแข็งแกร่ง
และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 124.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาท หรือ 3.0% คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 29.7% สนับสนุนให้มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 31.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0 ล้านบาท หรือ 3.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้น ที่สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการของกลุ่ม STI ทำให้มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7.6%
ภาพรวมผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 65 มีรายได้จากการให้บริการ 834.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 61.9 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7.4 %
"ปีนี้นับเป็นอีกปีที่ท้าทายของภาพรวมอุตสาหกรรม ท่ามกลางปัจจัยภายนอกในด้านเศรษฐกิจ ต้นทุน และสถานการณ์โควิดที่เข้าสู่ระลอก 5 โดยกลุ่ม STI มุ่งเน้นบริหารจัดการภายในที่มีประสิทธิภาพ และการสนับสนุนให้พนักงานในองค์กรได้รับการฉีดวัคซีนมากกว่า 99% ในปัจจุบัน เพื่อเดินหน้าเชิงรุก พร้อมสำหรับการรับงานใหม่เข้ามาเสริมพอร์ตอย่างต่อเนื่อง"