น.พ.กำพล พลัสสินทร์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้เข้าลงทุนในบริษัท กู๊ด เอสเตท จำกัด โดยการซื้อหุ้นจากนายธวัชชัย กาลอนันต์วงศ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 1,550,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 77.50% ของทุนจดทะเบียนของบริษัท กู๊ด เอสเตท จำกัด ในราคา 209,473,000 บาท เพื่อสร้างรายได้เพิ่มจากการประกอบธุรกิจเป็นเนอสซิ่งโฮมรับดูแลผู้สูงอายุ
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 2/65 มีรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาล 2,784.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 713.5 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2,071.0 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 878.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 302.2 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 576.1 ล้านบาท
สัดส่วนรายได้ในช่วงไตรมาส 2/65 ประกอบด้วย 1.รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยทั่วไป เพิ่มขึ้น 25% โดยแยกออกเป็นรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยนอก (OPD) เพิ่มขึ้น 83.84 ล้านบาท และรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยใน (IPD) เพิ่มขึ้น 170.64 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการให้บริการฉีดวัคซีนทางเลือก เพื่อป้องกันโรคระบาดโควิด-19 และการกลับเข้ามาใช้บริการในสถานพยาบาลของผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น
2.รายได้จากโครงการประกันสังคม เพิ่มขึ้น 12% จากจำนวนผู้ประกันตนที่เพิ่มขึ้นและการกลับมารักษาของผู้ป่วยที่มีค่าใช้จ่ายสูง 3.รายได้จากโครงการภาครัฐอื่นๆ เพิ่มขึ้น 65% สาเหตุหลักมาจากการดำเนินการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 โดยการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) และ 4.รายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาท จากการรับจ้างบริหารงานให้กับโรงพยาบาลภาครัฐ
"ช่วงไตรมาส 2/65 สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron เริ่มคลี่คลาย แต่ทางกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ยังคงให้บริการตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสด้วยวิธี RT-PCR และ ATK พร้อมทั้งให้การดูแลผู้ป่วยติดเชื้อที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสำหรับกลุ่มผู้ติดเชื้อที่มีอาการรุนแรง และทำ Home Isolation เพื่อดูแลผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียวที่มีอาการไม่รุนแรง รวมทั้งยังเปิดให้บริการฉีดวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชนที่สนใจ ประกอบกับกลุ่มคนไข้ทั่วไปเริ่มกลับเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง"
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมีรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาล 6,355.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,870.1 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 82% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ จำนวน 3,485.8 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 36.87% เป็น 49.67% ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 23% เป็น 34% โดยมีกำไรสุทธิ 2,234.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,406.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 170% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 827.9 ล้านบาท