นายเพชร นันทวิสัย ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (TFG) เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 65 กลุ่มบริษัทวางเป้าหมายเติบโตประมาณ 15-20% เทียบกับปีที่ผ่านมา จากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลาย และยังได้รับปัจจัยหนุนจากราคาขายสุกรและไก่อยู่ในระดับสูงทั้งในประเทศและต่างประเทศตามดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯได้ตั้งงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 3.5 พันล้านบาท เพื่อลงทุนในธุรกิจสุกรทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม รวมทั้งขยายร้านค้าปลีก
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายฐานรายย่อยผ่านการขยายสาขา ร้านไทยฟู้ดส์ เฟรช มาร์เก็ต เพื่อช่วยกระจายผลิตภัณฑ์ของ TFG ให้กับลูกค้ารายย่อยโดยตรง สามารถส่งต่อสินค้าคุณภาพในราคาเหมาะสม และปีนี้ตั้งเป้าจะมีสาขารวมอยู่ที่ 200-220 สาขา โดย ณ สิ้นเดือน มิ.ย.65 มีจำนวน 132 สาขา และล่าสุดมีจำนวนเพิ่มมาอยู่ที่ 159 สาขา
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 2/65 มีรายได้รวม 12,476.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.68% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,238.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 188.30% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นกำไรรายไตรมาสที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทฯในงวด 6 เดือนแรกของปี 65 มีรายได้รวม 22,936.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.76% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 1,857.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.21% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน
รายได้จากธุรกิจไก่ในไตรมาส 2/65 มีจำนวน 5,792.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.54% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 4,063.49 ล้านบาท โดยราคาไก่เฉลี่ยเท่ากับ 59.12 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้น 47.76% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้จากธุรกิจสุกร มีจำนวน 3,017.15 ล้านบาท ซึ่งราคาสุกรเฉลี่ยเท่ากับ 100.00 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้น 33.24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่รายได้จากธุรกิจอาหารสัตว์ในไตรมาส 2/65 มีจำนวน 1,955.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.01% จากงวดเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 1,761.72 ล้านบาท
"ปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากราคาเนื้อสัตว์ทั้งไก่ และสุกรยืนสูงต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณการส่งออกก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความต้องการบริโภคมากขึ้น ส่วนธุรกิจร้านค้าปลีกมีผลตอบรับที่ดีสนับสนุนยอดขายเพิ่มขึ้น รวมทั้งแนวโน้มของราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์และค่า Freight มีทิศทางลดลง ทำให้ช่วยลดภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดี นอกจากนี้การที่บริษัทฯ เป็น Net Exporter เมื่อค่าเงินบาทอ่อนค่าในช่วงครึ่งแรกของปี 65 จึงได้รับผลดีตามไปด้วย"